รัฐธรรมนูญบอกชัด เด็กไทยทุกคนต้องได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบมัธยมปลาย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ทำไมทุกครั้งที่เปิดเทอม พ่อแม่นับล้านครอบครัวทั่วประเทศถึงต้องจ่ายเงินให้โรงเรียนรัฐ?
นี่ไม่ใช่แค่ความสงสัยของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่สภาผู้บริโภคนำขึ้นสู่ศาล และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคน
ประตูแห่งสิทธิ์เปิดแล้ว: ศาลรับฟ้อง ผู้ปกครองฟ้องโรงเรียนได้
เมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้อำนวยการสำนักกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย อัปเดตความคืบหน้าล่าสุดของคดีที่หลายคนจับตามอง
“ทางสภาผู้บริโภคไปฟ้องเรื่องเรียนฟรีไม่จริง” เขาเริ่มต้นเล่า “ตอนแรกศาลปกครองกลางบอกว่าไม่รับฟ้อง เพราะฟ้องเกินระยะเวลา แต่ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีคำสั่งว่าต้องรับไว้พิจารณา เนื่องจากมีคู่กรณีบางรายยังอยู่ในเงื่อนไขระยะเวลาที่มีสิทธิ์ฟ้อง”
คดีนี้ สภาผู้บริโภค พร้อมด้วยนักเรียนและผู้ปกครองที่ได้รับความเสียหาย ได้ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 โดยศาลชั้นต้นเคยไม่รับฟ้อง แต่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณา
สิ่งที่สำคัญคือ ศาลรับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีลำดับที่ 4 และสถานศึกษา โดยศาลวินิจฉัยว่า การยื่นฟ้องยังไม่พ้นอายุความ เพราะมีการชำระเงินในปี 2566 ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่สามารถยื่นฟ้องได้
นี่หมายความว่า ผู้ปกครองมีสิทธิฟ้องสถานศึกษาได้ หากพบว่ามีการเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาในหลักสูตรทั่วไปที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลครั้งนี้เปรียบเสมือนการเปิด “ประตูแห่งสิทธิ์” ให้แก่ผู้ปกครองทั่วประเทศ ในการตรวจสอบและตั้งคำถามต่อการเรียกเก็บเงินที่อาจไม่เป็นธรรม
รากของปัญหา: ประกาศ 2 ฉบับที่เปลี่ยนทุกอย่าง
“ต้องกลับไปพูดตั้งแต่ปี 2554” เมธชนนท์อธิบาย
ในปีนั้น กระทรวงศึกษาธิการออกประกาศ 2 ฉบับที่กลายเป็นต้นตอของปัญหา
ประกาศฉบับที่ 1: การเก็บเงินบำรุงการศึกษา
ประกาศนี้ให้นิยามว่า สถานศึกษาสามารถเก็บค่าใช้จ่ายได้ หากจัดการศึกษาที่มีเนื้อหาสาระหรือวิธีการสอนที่แตกต่างไปจากที่รัฐจัดสรรงบประมาณให้
“เช่น โรงเรียนทั่วไปได้รับจัดสรรคอมพิวเตอร์ระบบ Windows ธรรมดา แต่โรงเรียนใช้ Mac – นี่ก็กลายเป็นมูลเหตุในการเก็บค่าใช้จ่ายได้ เพราะใช้อุปกรณ์หรือสื่อการสอนที่เป็นกรณีพิเศษ” เมธชนนท์ยกตัวอย่าง “หรือจัดเป็นหลักสูตรที่ไปเชื่อมกับสถาบันการศึกษาต่างประเทศ ก็เก็บได้ตามประกาศฉบับนี้”
ประกาศฉบับที่ 2: การระดมทรัพยากร
“ประกาศฉบับนี้เปิดช่องว่างให้สถานศึกษาใช้ดุลพินิจในการเก็บเงินได้กว้างมาก” เขาเน้น “เจตนารมณ์ของมันคือการระดมทรัพยากรในการบริหารงบประมาณ และย้ำว่าเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้เรียน”
คำว่า “ความสมัครใจ” ปรากฏในทั้งสองประกาศ แต่ในความเป็นจริง มันสมัครใจจริงหรือ?
“ทั้ง 2 ฉบับมีหลักเกณฑ์ร่วมกัน คือด้วยความสมัครใจของผู้ปกครองและนักเรียนทั้ง 2 ฉบับเลย” เมธชนนท์ชี้ให้เห็น “แต่ในทางปฏิบัติล่ะ?” เขาถามทิ้งท้าย
รายการที่ห้ามเก็บ แต่กลับถูกเก็บซ้ำ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการปี 2554 ระบุชัดเจนว่ามี 22 หมวดรายการ ที่โรงเรียนไม่มีสิทธิเรียกเก็บ เพราะเป็นรายการที่รัฐจัดสรรงบประมาณรองรับไว้อยู่แล้ว
แต่ปัจจุบันกลับพบว่าโรงเรียนหลายแห่งเรียกเก็บซ้ำซ้อน โดยผู้ปกครองไม่รู้ว่ารายการเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรต้องจ่าย
กฎหมายที่ “ถูกต้อง” แต่ไม่เป็นธรรม
สิ่งที่น่าตกใจคือ ประกาศทั้งสองฉบับนี้ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกฤษฎีกา แม้จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 และคำสั่ง คสช. ที่บอกชัดเจนว่าต้องเรียนฟรี 15 ปีแล้วก็ตาม
“มีข้อร้องเรียนจนทำให้ สพฐ. ต้องเอาประกาศนี้กลับไปหารือกฤษฎีกาอีกครั้ง” เมธชนนท์เล่า “กฤษฎีกามีคำวินิจฉัยที่ 1291/2561 วินิจฉัยให้ความเห็นไว้ว่าประกาศ 2 ฉบับนี้สามารถทำได้ ไม่ขัดรัฐธรรมนูญกับไม่ขัดคำสั่ง คสช. เพราะเป็นการจัดการศึกษาที่นอกเหนือไปจากวิธีการปกติ”
“ตรงนี้มันเลยกลายเป็นช่องทางให้สถานศึกษา ว่าถ้าอยากจะเก็บเงิน แค่เพิ่มอะไรที่พิเศษขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ก็สามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาได้แล้ว”
เมธชนนท์ชี้ให้เห็นถึงข้อขัดแย้งทางกฎหมายที่สำคัญ โดยย้ำว่าเป็นหลักการที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการจัดการศึกษาทุกคนควรเริ่มทำความเข้าใจ ซึ่งได้แก่
“บ้านเราใช้หลักนิติรัฐกับนิติธรรม ซึ่ง นิติรัฐ คือบ้านเมืองต้องปกครองด้วยกฎระเบียบข้อบังคับกฎหมาย ไม่ใช่ปกครองตามผู้มีอำนาจตามอำเภอใจ ส่วน นิติธรรม คือ พอมีกฎหมายมีข้อบังคับแล้วต้องนำไปใช้อย่างเป็นธรรมด้วย”
“กลับมาเรื่องนี้ ประกาศ 2 ฉบับนี้” เขาอธิบายต่อ “คำถามคือ มันถูกต้องตามนิติรัฐไหม? คำตอบคือถูกต้อง คือเขาออกกฎระเบียบข้อบังคับในการเก็บ ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมันทำได้ในมุมของนิติรัฐ” เมธชนนท์วิเคราะห์”แต่คำถามคือ ประกาศฉบับนั้นบังคับใช้อย่างเป็นธรรมกับผู้เรียนไหม? คำตอบคือไม่ กลายเป็นว่า ถูกนิติรัฐ แต่ไม่ถูกนิติธรรม ไม่เกิดความเสมอภาคกันในการบังคับใช้กฎหมาย”
ความไม่เป็นธรรมที่กำลังดำเนินอยู่ในโรงเรียนรัฐ? ห้องพิเศษที่ต้องจ่ายเงินพิเศษ?
“ปัจจุบัน มีหลายโรงเรียนรัฐที่เปิดห้องพิเศษขึ้น” เมธชนนท์ยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในหลายโรงเรียนรัฐไทย-อย่างชัดเจน
“สมมติมีเด็กต่างจังหวัดที่ไม่มีทุนทรัพย์ แต่เขาเรียนเก่งมาก จนสอบห้อง EP หรือห้องพิเศษของโรงเรียนประจำจังหวัดติด แต่เด็กไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมที่มันเพิ่มขึ้นมา เพราะโรงเรียนเรียกเก็บค่าบำรุงพิเศษ ‘ตามสมัครใจ’”
“ถ้าเรามองในมุมนี้ คำตอบคือจบเลย เด็กคนนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าเรียนในห้องเรียนพิเศษ ทั้งที่เขามีศักยภาพ มีความสามารถ”
“มันก็เลยกลายเป็นว่าประกาศ 2 ฉบับนั้น มีการบังคับใช้อย่างไม่ถูกนิติธรรม” เมธชนนท์ย้ำ
“ผมอยากชวนตั้งคำถามว่า โรงเรียนของรัฐ ที่รัฐจัดสรรบริการสาธารณะให้ จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมี ‘ห้องเรียนพิเศษ’? ลึกไปกว่านั้น ถ้าโรงเรียนรัฐจะจัดห้องเรียนพิเศษเพื่อเพิ่มศักยภาพเด็กจริงๆ โรงเรียนจำเป็นต้องเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่า เด็กทุกคนที่สอบผ่าน ควรได้รับสิทธิ์เรียนฟรีอยู่แล้วหรือ?”
นี่คือถามที่ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาไทย-อาจลืมคิดในมุมนี้
และนี่จะยิ่งทบทวีความไม่เป็นธรรมให้ฝังลึกมากขึ้นในสังคม
หลักฐานจริงจากพื้นที่: แม้แต่ห้องเรียนปกติก็ต้องจ่าย
เมธชนนท์แชร์ตัวอย่างจริงจากโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ที่ออกใบแจ้งค่าใช้จ่ายระบุชัดเจนว่า “รายการชำระเงินค่าบำรุงการศึกษา (ห้องเรียนปกติ)”
รายการที่ปรากฏในใบแจ้งมี:
-ค่าสอนคอมพิวเตอร์
-ค่าจ้างครูต่างชาติ
-ค่าจ้างครูเชี่ยวชาญ
-ค่าจ้างบุคลากรในสถานศึกษา
-ค่าวิทยากรภายนอก
” ผมเคยเป็น ผอ.สถานศึกษามาก่อน บางรายการในลิสต์นี้ ผมมองก็รู้ว่ารัฐจัดสรรงบให้แล้ว แล้วโรงเรียนยังเรียกเก็บจากผู้ปกครองอีกทำไม?” เขาตั้งคำถาม
“เคสนี้ ผมอยากชวนผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง มาเริ่มตั้งคำถามว่า ค่าจ้างบุคลากรในสถานศึกษา มันพิเศษตรงไหน? ค่าจ้างครูเชี่ยวชาญ-เชี่ยวชาญด้านไหน? คือโรงเรียนต้องอธิบายให้ได้ว่า สิ่งเหล่านี้มีอะไรพิเศษไปจากงบปกติยังไง? เช่น ค่าสอนคอมพิวเตอร์ มันต่างจากการที่ครูจบคอมพิวเตอร์มาสอนยังไง ถึงได้เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยบาท?”
“ที่ต้องเน้นย้ำคือ ค่าใช้จ่ายพิเศษเหล่านี้ โรงเรียนเรียกเก็บจาก ‘ห้องเรียนปกติด้วย’ ซึ่งนี่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องจ่ายเพิ่มจริงหรือ?” เมธชนนท์ชวนขบคิด
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้: คุณมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 54 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “รัฐต้องดำเนินการให้เด็กได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” และต่อมา คำสั่ง คสช. ปี 2559 ได้ขยายระยะเวลาเป็น 15 ปี
นอกจากนี้ ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษา 3 ปีก่อนวัยเรียน และ 12 ปีระดับพื้นฐาน รวมเป็น 15 ปี ซึ่งต้องเป็นการศึกษาฟรีตามหลักการสากล
นี่คือสิทธิ์ตามกฎหมายที่ครอบคลุมถึงเด็กจำนวนล้านกว่าคน แต่ดูเหมือนว่า คำว่า “ไม่เก็บค่าใช้จ่าย” ยังเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดจริงในสังคมไทยเสียที
ซึ่งผลลัพธ์ของการ “เรียนฟรีไม่ฟรีจริง” นั้น ส่งผลกระทบต่อสังคมมากกว่าที่หลายคนคิด โดยเฉพาะในแง่การเพิ่มจำนวนของเด็กหลุดจากระบ
ผลกระทบที่ต้องจับตา: เด็กหลุดจากระบบ
ตัวแทนจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงว่า นำมาสู่หลากหลายปัญหาสังคม อาทิ
“ภาระค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็นอาจทำให้เด็กบางคนที่มีผลการเรียนดีต้องหยุดเรียนกลางคัน เพราะผู้ปกครองไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนเรียกเก็บได้ ส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาในระดับมัธยมปลายและการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย”
“หากคดีนี้ชนะ ผู้ปกครองจำนวนมากจะได้รับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีรายได้วันต่อวัน เช่น ผู้ค้าขายรายย่อย ซึ่งเดิมทีต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่สูงเกินกำลัง”
ทำไมปัญหานี้ถึงสำคัญ?
การเก็บค่าบำรุงการศึกษาไม่เพียงแค่เป็นภาระทางการเงินของพ่อแม่ แต่มันสร้างความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา
“ถ้าโรงเรียนรัฐมีห้องพิเศษที่ต้องจ่ายเงิน แล้วเด็กยากจนที่มีความสามารถแต่ไม่มีเงิน เขาก็เข้าไม่ได้” เมธชนนท์วิเคราะห์ “มันสร้างระบบชนชั้นในโรงเรียนรัฐ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น มันขัดกับหลักความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย”
แล้วพ่อแม่ควรทำอย่างไร?
1. รู้สิทธิของตัวเอง รัฐธรรมนูญและคำสั่ง คสช. รับรองว่าลูกของคุณมีสิทธิ์เรียนฟรี 15 ปี การเก็บค่าบำรุงการศึกษาในหลักสูตรทั่วไปอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2. กล้าถาม กล้าตรวจสอบ ก่อนจะจ่ายเงินบำรุงการศึกษา ผู้ปกครองมีสิทธิถามโรงเรียนว่า รายการที่ถูกเรียกเก็บนั้นซ้ำซ้อนกับงบของรัฐหรือไม่ เพราะนั่นคือการปกป้องสิทธิของตัวเองและของเด็กๆ
3. เก็บหลักฐาน เก็บใบเสร็จทุกครั้งที่จ่ายเงิน อาจเป็นหลักฐานได้ในอนาคต โดยเฉพาะหากเป็นการจ่ายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจยังไม่พ้นอายุความ
4. ใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย ผู้ปกครองสามารถใช้สภาผู้บริโภคเป็นช่องทางในการส่งเสียง หรือปรึกษาหาทางฟ้องร้องหากพบความไม่เป็นธรรม
5. ติดตามคดี คดีนี้อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับระบบการศึกษาทั้งประเทศ
ท้ายที่สุด: การศึกษาฟรีคือสิทธิ์ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องขอร้อง
“การศึกษาฟรีไม่ใช่ของที่รัฐมอบให้ด้วยความเมตตา มันคือสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรอง เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องจัดให้” เมธชนนท์กล่าว
“เด็กทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงการศึกษาอย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะมาจากครอบครัวร่ำรวยหรือยากจน มีพื้นฐานดีหรือไม่ดี เพราะการศึกษาคือรากฐานของอนาคตประเทศ”
การต่อสู้ของสภาผู้บริโภคในศาลครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการคืนเงินให้ผู้เสียหาย แต่เป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิพื้นฐานของเด็กไทยหลายล้านคน เพื่อให้พวกเขาได้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง โดยไม่ถูกกีดกันด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ
การที่ศาลปกครองสูงสุดเปิด “ประตูแห่งสิทธิ์” นี้ คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้สังคมหันกลับมาคำนึงถึงการพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติ ซึ่งควรได้รับการศึกษาฟรี 15 ปีอย่างแท้จริง
คำถามคือ การศึกษาฟรีที่รัฐธรรมนูญรับรองนั้น จะกลายเป็นความจริงเมื่อไหร่?

