เจาะปัญหาเงินอุดหนุนสำหรับการศึกษาทางเลือก: เมื่อกฎหมายบอกว่า ‘ประชาชนมีสิทธิ์’ แต่ไม่ได้หมายความว่า ‘รัฐจะสนับสนุน’

กฎหมายการศึกษาแห่งชาติระบุชัดเจนว่า ประชาชนมีสิทธิ์จัดการศึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน มูลนิธิ สมาคม องค์กรวิชาชีพ สถาบันพระพุทธศาสนา หรือสถานประกอบการ แต่ในความเป็นจริง ศูนย์การเรียนที่จัดการศึกษาทางเลือกให้กับเด็กนอกระบบกลับต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง

เมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้อำนวยการสำนักกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ซึ่งเคยบริหารศูนย์การเรียนมาด้วยตัวเอง สรุปปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมาว่า

“รัฐเปิดโอกาสให้ประชาชนจัดการศึกษา แต่ไม่จัดสรรเงินอุดหนุนให้”

และนี่คือช่องว่างที่กำลังฆ่าการศึกษาทางเลือก และทำให้เด็กนอกระบบหลายแสนคนไม่มีทางเลือกในการเข้าถึงการศึกษา

รากของปัญหา: กฎหมายครอบคลุม แต่ขาดทรัพยากรสนับสนุน

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติมีมาตั้งแต่ปี 2542 โดยมีรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ฉบับที่เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างเข้มข้น จากหลักการนี้ กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวง 6 ฉบับ เปิดกว้างให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมเข้ามาจัดการศึกษาได้

กฎกระทรวงทั้ง 6 ฉบับครอบคลุมตั้งแต่
  • บุคคล (ปี 2554)
  • ครอบครัว (ปี 2547) หรือที่เรียกกันว่าโฮมสคูล
  • องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนอย่างมูลนิธิและสมาคม (ปี 2555)
  • องค์กรวิชาชีพต่างๆ
  • สถาบันพระพุทธศาสนา
  • สถานประกอบการ (ปี 2547)

เมธชนนท์วิเคราะห์ว่า “ถ้าเราหยิบทฤษฎีระบบนิเวศทางสังคมของบรอนเฟนเบรนเนอร์ (Bronfenbrenner) มาดู จะพบว่ากฎกระทรวงทั้ง 6 ฉบับนั้นครอบคลุมเลย ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน สถาบันทางสังคม สถานประกอบการ องค์กรวิชาชีพ ครอบคลุมเกือบทุกระดับของระบบนิเวศในการพัฒนาคน”

แต่กฎหมายที่ดูสวยงามและครอบคลุมนี้ กลับมีปัญหาชัดเจนในทางปฏิบัติ

ช่องว่างที่ซ่อนอยู่: เมื่อกฎกระทรวงไปคนละทิศทาง

“กฎกระทรวงทั้ง 6 ฉบับออกมาดีมาก แต่ปัญหาคือมันไปกันคนละทิศคนละทาง” เมธชนนท์เปิดเผยปัญหาที่ซ่อนอยู่

ปัญหาแรก: ผู้จัดและผู้ประเมินเป็นคนละฝ่าย

กฎกระทรวงเรื่องการจัดการศึกษาโดยบุคคลและครอบครัว ให้สิทธิ์ครอบครัวหรือบุคคลเป็นผู้จัดการศึกษา แต่ผู้ทดสอบและประเมินในแต่ละปีการศึกษา กลับเป็นเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งไม่ได้ติดตามกระบวนการเรียนรู้ แต่ต้องเป็นผู้ออกเครื่องมือประเมิน

“เขตพื้นที่การศึกษาไม่ได้มาดู ไม่ได้รู้ว่าครอบครัวจัดการเรียนรู้ยังไง แต่เขาต้องเป็นคนออกเครื่องมือประเมิน มันเลยทำให้คนจัดเป็นคนหนึ่ง คนวัดผลเป็นคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ไม่สอดคล้องกัน” เขาอธิบาย

ผลที่ตามมาคือ คนที่มีศักยภาพจัดการศึกษาให้ตัวเองหรือบุตรหลานไม่กล้าลงมือทำ 

“เพราะไม่มีใครอยากไปมีปัญหากับระบบราชการไทย” เมธชนนท์บอก

ขณะที่กฎกระทรวงฉบับอื่น เช่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถานประกอบการ สามารถสอน วัดผล และประเมินผลได้เบ็ดเสร็จภายในศูนย์การเรียนเอง

ปัญหาที่สอง: ความไม่ไว้วางใจที่ฝังลึก

“ในเมื่อคุณกระจายอำนาจให้ประชาชนจัดการศึกษาทางเลือกแล้ว ทำไมถึงยังไม่ไว้ใจประชาชน?” เมธชนนท์ตั้งคำถาม

เขายกตัวอย่างประสบการณ์จริงเมื่อครั้งยังเป็นผู้อำนวยการศูนย์การเรียน มีเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่การศึกษาเข้ามาตรวจและถามว่าเทียบโอนยังไง ทั้งที่เรื่องการเทียบโอนเป็นอำนาจที่กระจายมาอยู่ที่สถานศึกษาแล้วตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกระจายอำนาจเรื่องวิชาการ

“เขาบอกว่า ทำแบบนี้ทำไม่ได้ เทียบประสบการณ์ทำงานมาเป็นเกรดไม่ได้ เพราะว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนกับการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์มันไม่เท่ากัน เทียบไม่ได้”

นี่คือการขัดแย้งกับ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 15 ที่เปิดโอกาสให้เทียบโอนได้อย่างชัดเจน

“กฎหมายเปิดทางให้เราจัดได้ แต่ผู้มีอำนาจกลับไม่ไว้ใจ ยังพยายามดึงอำนาจการเทียบโอนและงานวิชาการกลับไปอยู่” เมธชนนท์วิเคราะห์ “มันก็เลยเป็นข้อขัดข้องที่ทำให้การศึกษาทางเลือกมันไม่ค่อยโตเท่าไหร่ เพราะผู้เกี่ยวข้องเชื่อว่าคนที่ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มีคุณภาพเท่ากับข้าราชการ”

ช่องว่างใหญ่ที่สุด: คำเพียงคำเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่าง

ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดของกฎกระทรวงทั้ง 6 ฉบับ อยู่ที่การใช้ถ้อยคำ โดยบางฉบับใช้ว่า “ต้องจัดสรร” ขณะที่บางฉบับใช้ว่า “อาจจะจัดสรร”

“เพียงแค่วลีเดียวในกฎหมาย มันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวแล้ว” เมธชนนท์อธิบาย

“ในบางกฎกระทรวงที่ได้เงินอุดหนุนแล้ว เช่น สถานประกอบการ ในกฎกระทรวงเขียนว่า ‘สพฐ. ต้องจัดสรรเงินอุดหนุน‘ ใช้คำว่า ‘ต้องจัดสรร'” เขาชี้ให้เห็น

 “แต่ในกฎกระทรวงฉบับอื่นใช้คำว่า ‘อาจจะจัดสรร’ ซึ่งหมายความว่าไม่จัดก็ได้”

และสถานการณ์ปัจจุบัน คือ มีเพียงศูนย์การเรียนของสถานประกอบการเท่านั้นที่ได้รับเงินอุดหนุนตั้งแต่แรก เพราะกฎกระทรวงใช้คำว่า “ต้องจัดสรร” ส่วนศูนย์การเรียนประเภทอื่นต้องเผชิญสถานการณ์ที่แตกต่างกัน อาทิ

ครอบครัวและบุคคล: ศาลปกครองตัดสินให้จัดสรรแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน
องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน: ไม่ได้รับเงินอุดหนุน ทั้งที่เป็นกลุ่มที่มีศูนย์การเรียนมากที่สุด เนื่องจากกฎกระทรวงใช้คำว่า “อาจจะ”
องค์กรวิชาชีพ: ยังไม่มีศูนย์การเรียนที่จัดโดยสภาวิชาชีพ จึงยังไม่พบปัญหาเงินอุดหนุน
สถาบันพระพุทธศาสนา: “กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา เพราะอยู่กับวัด มีเงินบริจาค มีเงินจากสำนักพระพุทธอยู่แล้ว” เมธชนนท์ให้ข้อมูล

นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นและยังดำเนินเช่นนี้ต่อไปโดยไม่มีทางออกที่ชัดเจนจากผู้เกี่ยวข้อง 

แท็กติกทางกฎหมาย?: สำรวจทุกปี แต่เงินไม่มา

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้เคสศูนย์การเรียนของครอบครัวและบุคคลจะมีคำตัดสินของศาลให้ สพฐ. จ่ายเงินอุดหนุนแล้ว อีกทั้ง สพฐ. ยังออกสำรวจศูนย์การเรียนทุกปี แต่เงินกลับไม่เคยถูกจัดสรรให้กลุ่มนี้เลย 

เมธชนนท์มองว่า ทั้งหมดนี้เป็นแท็กติกทางกฎหมาย เพราะการสำรวจทำให้ สพฐ. สามารถอ้างได้ว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ หากไม่สำรวจ อาจถูกฟ้องร้องว่าเป็นการละเว้น แต่การสำรวจก็เป็นเพียงข้อแก้ตัวเท่านั้น

“มันเป็นแท็กติกทางกฎหมาย ผมพูดได้เลย เวลาผมมีคำถามเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุน เขาจะบอกได้ว่า เขากำลังสำรวจและอยู่ระหว่างดำเนินการ” เมธชนนท์เผย “เขาทำอย่างนี้ทุกปี มันเป็นแท็กติกว่าทุกอย่างกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ”

“ถ้าเกิดเขาไม่สำรวจ มันก็จะเป็นเหตุแห่งการละเว้นที่เราจะฟ้องเขาได้ เขาก็เลยสำรวจเพื่อที่จะใช้มาเป็นข้อแก้ตัว” 

อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอเรื่องงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวให้กับศูนย์การเรียนเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี คาดว่าเร็ว ๆ นี้ คงจะมีการอนุมัติงบประมาณและกระจายให้ศูนย์การเรียนได้ในช่วงปี 2569 

“เรื่องนี้ ผมก็ต้องขอชื่นชมทางกระทรวงศึกษา และรัฐบาลชุดนี้ ที่ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของโอกาสทางการศึกษา และมองว่า ผู้เรียนทุกสังกัดควรได้รับสิทธิทางการศึกษาที่เท่ากันอย่างเท่าเทียม” เมธชนนท์ เผย “ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสนับสนุนการศึกษาทางเลือกภาคประชาชนอย่างเป็นทางการ”

สถานการณ์ปัจจุบัน: ศูนย์การเรียนอยู่รอดได้อย่างไร?

จากข้อมูลที่เมธชนนท์มีอยู่ พบว่า ในปัจจุบัน ศูนย์การเรียนที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐต้องอาศัยแหล่งเงินทุน 2 ทาง คือเงินกองทุน กสศ. (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) และการระดมทรัพยากรจากภาคีเครือข่าย

“ส่วนใหญ่เด็กอยู่รอดมาด้วยเงินกองทุน กสศ.” เขาอธิบาย พร้อมเล่าถึงการระดมทรัพยากรว่า 

“เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของการศึกษานอกระบบเป็น non-formal education มันจะมีคอนเซ็ปต์เรื่องการระดมทรัพยากรทางการศึกษา หมายความว่าไม่ใช่การระดมเงิน แต่เป็นการระดมภาคีเครือข่ายเข้ามาร่วมจัด เพื่อจะลดต้นทุนในการจัดการศึกษา”

เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ตัวเองว่า “สมัยผมเป็นผู้อำนวยการศูนย์การเรียน ผมจัดการเรียนให้กับเด็กในสถานพินิจได้เรียนฟรี โดยเราใช้วิธีการจัดวิชาทักษะชีวิต เรื่องเลิกบุหรี่ไฟฟ้า ยาเสพติด ซึ่งเราอาศัยกลุ่มภาคีเครือข่ายของ สสส. เช่น สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย เครือข่าย Youth Club เด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน หรือ สถาบันอุดมศึกษา คือ แขนงวิชาการศึกษานอกระบบ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยชวนภาคีเครือข่ายมาร่วมจัด ก็ถือว่าวิน-วินทั้งคู่ เขาได้ตัวชี้วัด เราก็ได้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน”

นอกจากนี้ยังมีเงินบริจาค เนื่องจากศูนย์การเรียนหลายแห่งจัดโดยมูลนิธิ แต่ทั้งหมดนี้เมธชนนท์มองว่าไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน

“มันควรจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐตามหลัก public service” เขากล่าวย้ำ

เงินอุดหนุนก็ไม่ถูกจัดสรร เด็กก็ขาดสวัสดิการ ปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไข

เมธชนนท์เปิดเผยว่า ปัญหายังไม่จบแค่เงินอุดหนุนไม่ถูกจัดสรรให้ศูนย์การเรียนเท่านั้น แต่เด็กที่อยู่ในการศึกษาทางเลือก มักถูกรัฐมองข้าม เวลามีวิกฤตหรือการสำรวจรายชื่อเพื่อจัดสรรสวัสดิการ เด็กกลุ่มนี้มักไม่ได้รับสิทธิเหมือนกลุ่มอื่น

“นอกจากไม่ได้เงินอุดหนุนรายหัวแล้ว ศูนย์การเรียนและนักเรียนยังไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ ทั้งนมโรงเรียน ค่าอาหารกลางวัน หรือสวัสดิการอื่นที่นักเรียนควรได้รับ” เขาอธิบายให้เห็นประเด็นปัญหาที่ซ่อนอยู่

กรณีที่ชัดเจนคือช่วงวิกฤตโควิด-19 มีแผนจัดสรรเงินเยียวยาภาครัฐ ที่จัดสรรให้เด็กรายละ 2,000-3,000 บาท และ จัดสรรอินเทอร์เน็ตฟรี ช่วงเรียนออนไลน์ แต่กลายเป็นว่าไม่ได้รวมศูนย์การเรียนไว้ด้วย ทั้งที่เด็กเหล่านี้ขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนตามกฎกระทรวง 

“ตอนนั้นเด็กศูนย์การเรียนผมไม่ได้เงินส่วนนี้ ทั้งที่ผมเสนอคำของบประมาณไปแล้ว ผู้ปกครองเด็กนักเรียนหลายคนในศูนย์การเรียนก็ไม่พอใจ เพราะเขาไม่ได้รับสิทธิที่เขาควรได้จากรัฐ” 

รากเหง้าของปัญหา: เมื่อศูนย์การเรียนเป็นเพียง “งานฝาก”

เมื่อเราให้เมธชนนท์เจาะลึกไปที่ปัญหาที่แท้จริง เขาวิเคราะห์ว่า ปัญหาอยู่ที่โครงสร้าง โดยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ศูนย์การเรียนถูกมองเป็นเพียง “งานฝาก” ของ สพฐ. ไม่ใช่ภาระหน้าที่หลักของหน่วยงาน เพราะภาระหลักของ สพฐ. คือการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและบริหารจัดการโรงเรียนในสังกัด

ปัญหาซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อผู้บริหารและครูของ สพฐ. ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของการศึกษานอกระบบ “เพราะทุกคนจบการศึกษาในระบบ ไม่มีทางเข้าใจธรรมชาติของการศึกษานอกระบบอยู่แล้ว” เมธชนนท์อธิบาย

เขายกตัวอย่างที่น่าตกใจว่า เคยคุยกับข้าราชการที่ย้ายมาอยู่กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษาของ สพฐ. ส่วนกลาง เมื่อแจ้งว่าตนเป็นผู้อำนวยการศูนย์การเรียน เจ้าหน้าที่กลับถามว่า “ศูนย์การเรียนสังกัดไหน?”

“แสดงว่าแม้แต่คนที่ทำงานในส่วนกลางบางคนยังไม่รู้ว่าศูนย์การเรียนสังกัด สพฐ.” เขาสรุป

ผลกระทบที่ซ่อนอยู่: เมื่อครูและนักเรียนถูกตีตรา

ในมุมมองของเมธชนนท์ ความไม่เข้าใจเรื่องการศึกษาทางเลือกส่งผลกระทบเชิงลึกในหลายด้าน อาทิ

การตรวจสอบวุฒิที่ยุ่งยาก

เมื่อนักเรียนจบจากศูนย์การเรียนไปสมัครต่อมหาวิทยาลัยหรือสมัครงาน หน่วยงานต่างๆ มักไม่เข้าใจว่าศูนย์การเรียนเป็นสถานศึกษาที่มีอำนาจตามกฎหมาย แม้ใบประกาศนียบัตร (ป.พ.) จะเหมือนกันทุกประการ เพราะมาจากกระทรวงเหมือนโรงเรียนทั่วไป

เมธชนนท์เล่าว่า เขาเคยต้องถ่ายราชกิจจานุเบกษาพร้อมทำหนังสือนำส่งไปให้หน่วยงานต่างๆ อ่าน เพื่อยืนยันว่าศูนย์การเรียนที่เขาบริหารอยู่นั้น จัดตั้งตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ มาตรา 12 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง แต่บางครั้งก็ยังไม่เพียงพอ เขาต้องขอให้เขตพื้นที่การศึกษาทำหนังสือยืนยันอีกครั้ง

กระบวนการที่ยืดยาวนี้สร้างความเสี่ยงร้ายแรง มีกรณีที่นักเรียนสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยติด แต่เกือบเสียสิทธิ์บรรจุเข้ารับราชการเพราะการตรวจสอบวุฒิล่าช้า 

ครูศูนย์การเรียนไม่ได้รับการพัฒนา

เมธชนนท์ยังเล่าอีกว่า เคยมีเคสที่ธรรมศาสตร์เปิดอบรมครูสังคมศึกษาเรื่องการจัดการศึกษาแบบ active learning แต่เมื่อมีครูจากศูนย์การเรียนผ่านการคัดเลือกรอบแรก กลับถูกคัดชื่อออก เพราะผู้จัดมองว่าศูนย์การเรียนไม่ใช่โรงเรียน

อุปสรรคอีกชั้น: ครูในระบบไม่เข้าใจการศึกษาทางเลือก

เรื่องน่าสนใจคือ หลักสูตรครุศาสตร์ที่ผลิตครูให้ สพฐ. ส่วนใหญ่ไม่มีรายวิชาเกี่ยวกับการศึกษาทางเลือกและการศึกษานอกระบบ มีเพียงไม่กี่แห่งที่มีรายวิชาดังกล่าว

“80% ของสถาบันผลิตครู ไม่รู้และไม่เข้าใจว่า การจัดการศึกษาทางเลือก หรือการจัดการศึกษาโดยศูนย์การเรียนคืออะไร” เมธชนนท์ชี้ให้เห็น

สถานการณ์นี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ กสศ. มีนโยบาย “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ที่ให้โรงเรียนทุกแห่งต้องจัดการศึกษาได้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย แต่ครูไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องการศึกษานอกระบบเลย

“ผมคิดว่าเราต้องแก้ไขที่ระดับการผลิตครูเลย” เขาเสนอ “เพราะคนเหล่านี้จะเติบโตไปเป็นศึกษานิเทศก์ที่ต้องกำกับศูนย์การเรียน หากมีความเข้าใจตั้งแต่ต้น การทำงานของศูนย์การเรียนจะราบรื่นขึ้น”

ทางออกระยะยาวอยู่ที่คุรุสภา

เมื่อถามถึงทางออกระยะยาว เมธชนนท์เห็นว่า “หลักสูตรผลิตครูต้องสอดคล้องกับเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนด หากคุรุสภากำหนดให้วิชาบังคับของครูต้องมีรายวิชาเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบ การศึกษาตลอดชีวิต หรือการศึกษาทางเลือก ทุกมหาวิทยาลัยจะต้องปรับหลักสูตรตาม” 

เขายังเสนอด้วยว่า “เวลาโรงเรียน เวลาสถาบันผลิตครูจะผลิตครู เขาต้องส่งเด็กไปฝึกงานที่โรงเรียน สพฐ. ใช่ไหมครับ? ทำไมเขาไม่มาฝึกงานกับศูนย์การเรียนบ้าง ในเมื่อเป็นสถานศึกษาเหมือนกัน”

“ถ้าครูฝึกสอนหรือฝึกงาน มาที่ศูนย์การเรียน ตัวครูเองก็จะเข้าใจวัฒนธรรมของการศึกษาว่ามันไม่ใช่มีแค่ในระบบโรงเรียนอย่างเดียว มันมีหลายรูปแบบ เวลาเขาไปบรรจุเป็นครูใน สพฐ. เขาก็จะมีความยืดหยุ่น เกิดความยืดหยุ่นในการทำงานกับเด็กได้ด้วย” นี่คือข้อดีที่เมธชนนท์เล็งเห็น และอยากให้เกิดขึ้น

ปัญหาระบบข้อมูล: ส่วนกลางเห็นหรือไม่เห็น?

นอกจากปัญหาเงินอุดหนุนและสวัสดิการ ยังมีประเด็นระบบฐานข้อมูลกลาง เมธชนนท์ตั้งคำถามว่า ระบบ big data ที่มีอยู่ครอบคลุมผู้เรียนในศูนย์การเรียนทั้ง 6 กฎกระทรวงหรือไม่

ปกติโรงเรียนต่างๆ จะคีย์รายชื่อนักเรียนพร้อมสภาพปัญหาและความต้องการของแต่ละคนเข้าระบบ ซึ่งศูนย์การเรียนก็มีการคีย์ข้อมูลเหล่านี้เช่นกัน

แต่คำถามคือ สพฐ. เห็นข้อมูลเหล่านี้หรือไม่? หากเห็นแล้วแต่เพิกเฉย ต้องตั้งคำถามว่าติดขัดตรงไหน

หากมีวิกฤตเหมือนโควิดหรือน้ำท่วมอีกครั้ง และรายชื่อของศูนย์การเรียนไม่ปรากฏในระบบที่ใช้จัดสรรงบประมาณ เด็กเหล่านี้ก็จะถูกทิ้งไว้อีก การบริหารจัดการเงินเยียวยาจะยากลำบาก

“กรณีน้ำท่วมภาคใต้ ถ้ามีศูนย์การเรียนอยู่ในพื้นที่ คำถามคือ เด็กในศูนย์การเรียนจะได้เงินเยียวยาไหม? ถ้าเกิดรายชื่อมันคีย์เข้าไป แต่ สพฐ. ไม่เห็นข้อมูล เขาอาจจะไม่จัดสรรเงินมาให้ ก็ลำบากกันอีก” เมธชนนท์ย้ำว่าประเด็นนี้มีความสำคัญมาก

ทางออก: ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง

ในส่วนของทางออก เขาเสนอทางออกที่ชัดเจน 3 ระยะ ทั้งระยะ สั้น กลาง และยาว ได้แก่

ระยะสั้น: แก้คำว่า “อาจจะ” เป็น “ต้อง”

เขายืนหยัดในหลักกฎหมายว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และรัฐธรรมนูญมาตรา 54 บัญญัติให้การจัดการศึกษาเกิดความเสมอภาคเป็นธรรมแก่ทุกคน การใช้คำว่า “อาจจะ” ในกฎกระทรวงทำให้บางศูนย์การเรียนได้เงินอุดหนุน บางแห่งไม่ได้ ซึ่งเป็นการสร้างความไม่เสมอภาค ขัดกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ

เมธชนนท์เห็นว่าควรมีการร้องศาลรัฐธรรมนูญหรือหารือกฤษฎีกาเพื่อแก้ไขปัญหานี้

ระยะกลาง: จัดตั้งสำนักบริหารการศึกษาภาคประชาชน

ศูนย์การเรียนและการจัดการศึกษาภาคประชาชนทั้ง 6 กฎกระทรวงควรมีหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบโดยตรง มีพรรคการเมืองเคยเสนอนโยบายจัดตั้ง “สำนักบริหารการศึกษาภาคประชาชน” เพื่อรวม 6 กฎกระทรวงเข้าไว้ด้วยกันและบริหารจัดการโดยผู้ที่เข้าใจศูนย์การเรียน

หากมีหน่วยงานดังกล่าว ช่องว่างในการสำรวจและจัดสรรเงินอุดหนุนจะหมดไป เพราะหน่วยงานจะทราบชัดเจนว่ามีศูนย์การเรียนในความรับผิดชอบกี่แห่ง ภาพของการศึกษาภาคประชาชนจะชัดเจนขึ้นด้วย

การจัดตั้งสำนักภายในทำได้โดยอำนาจของรัฐมนตรี แต่มีข้อเสีย คือรัฐมนตรีคนใหม่อาจยุบได้ ทางออกที่ยั่งยืนคือแก้กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกระทรวงศึกษาให้มีสำนักนี้อยู่ในโครงสร้าง

ระยะยาว: ปรับระบบผลิตครู

คุรุสภาควรกำหนดให้วิชาชีพครูต้องมีรายวิชาเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาทางเลือก และเปิดโอกาสให้นักศึกษาครูฝึกงานที่ศูนย์การเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจตั้งแต่ระดับการผลิตครู

แล้วใครควรสนใจประเด็นนี้บ้าง?

เมธชนนท์มองว่านอกจาก สพฐ. แล้ว ยังมีหลายกลุ่มที่ควรให้ความสนใจ ได้แก่ ภาคีเครือข่ายศูนย์การเรียนที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อน ผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษาจากระบบเหล่านี้ที่ควรภูมิใจและสื่อสารให้สังคมรู้จัก พ่อแม่ที่จัดโฮมสคูล และสังคมโดยรวมที่ควรเข้าใจว่าการศึกษามีหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่โรงเรียนในระบบเท่านั้น

เมื่อศูนย์การเรียนล่มสลาย จะเกิดอะไรขึ้น?

เมธชนนท์มองว่า การที่ประเทศไทยมีกฎกระทรวง 6 ฉบับเกี่ยวกับศูนย์การเรียนออกมาได้ สะท้อนว่ารัฐยอมรับว่า รัฐไม่สามารถจัดการศึกษาให้ครอบคลุมได้ จึงต้องให้คนอื่นมาช่วย ดังนั้นหากศูนย์การเรียนและการศึกษาทางเลือกไม่เติบโต เมื่อเกิดภาวะวิกฤตจะไม่มีระบบรองรับ

โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจน วิกฤตครั้งนั้น ผลักเด็กออกจากระบบมาล้านกว่าคน และศูนย์การเรียนก็กลายเป็นหน่วยงานที่ช่วยแบ่งเบาภาระไว้มาก เมธชนนท์เตือนว่า เมื่อระบบราชการแข็งทื่อ ต้องมีระบบที่ยืดหยุ่นคอยรองรับ หากปล่อยให้ศูนย์การเรียนไม่มีประสิทธิภาพหรือปิดตัวลง เมื่อประเทศเกิดวิกฤต การศึกษาในภาพรวมจะไปต่อไม่ได้

นอกจากนี้ การมีศูนย์การเรียนและพื้นที่การศึกษาทางเลือก ยังส่งผลต่อสังคมในระยะยาว เขาชี้ว่า มีข้อมูลแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนเด็กหลุดระบบกับคดีอาชญากรรม โดยปีไหนที่เด็กหลุดระบบเยอะ คดีอาชญากรรมก็จะสูงตาม เมื่อมีระบบการศึกษาทางเลือกรองรับ เด็กยังอยู่ในกรอบการเรียน มีความรับผิดชอบ คดีอาชญากรรมก็ลดลง

“เมื่อไหร่ที่เด็กหลุดระบบเยอะ ปีนั้นจะมีคดีอาชญากรรมเยอะมาก ผมเคยเอากราฟเปรียบเทียบ จำนวนเด็กหลุดระบบในปีไหนสูง ปีนั้นกราฟคดีอาชญากรรมก็จะสูงตามด้วย”

ในแง่เศรษฐกิจ หากเด็กหลุดระบบเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้รับการพัฒนา ใครจะเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจฐานราก? รัฐจะต้องใช้งบประมาณสนับสนุนกลุ่มนี้มากขึ้นในระยะยาว เมธชนนท์กล่าวย้ำ

ท้ายที่สุด: สิทธิ์ที่ไม่มีทรัพยากรคือสิทธิ์จริงหรือ?

มากว่า 20 ปีแล้ว ที่กฎหมายให้สิทธิ์ประชาชนจัดการศึกษา แต่ในทางปฏิบัติ สิทธิ์นี้กลับเป็นเพียงตัวอักษรบนกระดาษ ศูนย์การเรียนหลายแห่งต้องปิดตัว ครูดีๆ ต้องลาออก เด็กนอกระบบไม่มีทางเลือก และเมื่อเกิดวิกฤต ก็ไม่มีระบบรองรับ

รัฐธรรมนูญมาตรา 54 บัญญัติให้การจัดการศึกษาเกิดความเสมอภาคเป็นธรรมแก่ทุกคน แต่เมื่อบางศูนย์การเรียนได้เงินอุดหนุน บางแห่งไม่ได้ เมื่อเด็กบางคนได้นมโรงเรียน บางคนไม่ได้ เมื่อบางคนได้วัคซีน บางคนไม่ได้ – นี่คือความเสมอภาคจริงหรือ?

นี่คือความขัดแย้งที่ต้องแก้ไข ไม่เพียงเพื่อศูนย์การเรียน แต่เพื่อเด็กหลายแสนคนที่ต้องการทางเลือกในการเข้าถึงการศึกษา เพื่อระบบที่จะรองรับได้เมื่อเกิดวิกฤตครั้งต่อไป

หากเราเชื่อจริงว่าเด็กทุกคนควรได้รับการศึกษา เหตุใดจึงไม่สนับสนุนให้ศูนย์การเรียนอยู่รอด?

อาจถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องลุกมาคุยเรื่องนี้และลงมือทำอย่างจริงจัง


บทความนี้เขียนจากการสัมภาษณ์เมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้อำนวยการสำนักกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย