ทำได้อย่างไร ‘บุญนาคพิทยาคม’ จากโรงเรียนขนาดเล็กที่ใกล้ถูกยุบ สู่ปรากฏการณ์ “โรงเรียนตามจังหวะชีวิต ไม่ใช่ตามตารางราชการ”

การขยับเชิงรุกที่กอบกู้โรงเรียนและชีวิตเด็กได้จริง
โรงเรียนบุญนาคพิทยาคม จ.ชัยนาท เคยเหลือนักเรียนมาเรียนจริงเพียงราว 20 กว่าคน ทั้งที่ในระบบมี 51 คน และเก้าอี้ ผอ.ว่างถึง 2 ปี ก่อนจะเริ่ม “ขยับเข้าหาเด็ก” ตั้งแต่ทำข้อตกลงกับนายจ้าง–ผู้ปกครอง ออกแบบการเรียนสำหรับเด็กที่ต้องทำงาน/บวชเรียน ประเมินจากงานและความก้าวหน้าจริง พร้อมระบบติดตามเชิงรุก และใช้วันศุกร์เป็นวันบูรณาการแบบโครงงาน เชื่อมเด็กหลายจังหวะชีวิตกลับเข้าห้องเรียนได้
ผลลัพธ์พูดแทนทุกอย่าง ปัจจุบัน มีผู้เรียนรวมมากกว่า 160 ชีวิตที่ได้ “ทางกลับสู่การเรียน” อีกครั้ง

การศึกษายืดหยุ่นภายใต้แนวคิด “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” คือกลไกสำคัญในการพยุงระบบการศึกษาในพื้นที่เสี่ยงถูกยุบ
โรงเรียนบุญนาคพิทยาคมแสดงให้เห็นว่า เมื่อโรงเรียนสามารถจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยควบคู่กันได้ การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับเวลาและห้องเรียนเพียงแบบเดียว ระบบที่ยืดหยุ่นช่วยดึงผู้เรียนกลับเข้าสู่การศึกษา เพิ่มจำนวนผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม และทำให้โรงเรียนขนาดเล็กกลับมามีบทบาทต่อชุมชนอีกครั้ง
 
ความสำเร็จของการศึกษายืดหยุ่นเกิดจากการขยับทั้งระบบ ไม่ใช่ความพยายามของบุคคลใดคนหนึ่ง
โรงเรียนบุญนาคพิทยาคมสะท้อนว่า การฟื้นโรงเรียนใกล้ถูกยุบไม่อาจเกิดจากคำสั่งหรือโครงการระยะสั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือองครู ชุมชน ผู้นำท้องถิ่น วัด นายจ้าง และกลไกสนับสนุนอย่าง กสศ. เมื่อทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันว่าโรงเรียนคือหน่วยพัฒนาคนของพื้นที่ การศึกษายืดหยุ่นจึงกลายเป็นโครงสร้างถาวร ไม่ใช่มาตรการเฉพาะกิจ

ย้อนไปเพียง 2 ปีก่อน โรงเรียนบุญนาคพิทยาคม จังหวัดชัยนาท อยู่ในสภาพที่หลายคนเชื่อว่า “ไปต่อไม่ไหวแล้ว”

แม้ในอดีต โรงเรียนแห่งนี้จะเคยรุ่งเรืองชนิดที่มีนักเรียนหลักพันคนและเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ของจังหวัดชัยนาท แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ที่แห่งนี้กลับเหลือชื่อนักเรียนในระบบ เพียง 51 คน และมีเด็กมาเรียนจริงแค่ 20 กว่าคน และหนักถึงขั้นที่เก้าอี้ผู้อำนวยการโรงเรียนถูกเว้นว่างนานถึง 2 ปี 

…ด้วยสภาพอาคารและพื้นที่เริ่มรกร้าง ครูเก่าหมดไฟ ครูใหม่หมดแรง และไม่มีใครรู้ว่าต้องพาโรงเรียนไปทางไหนต่อ นั่นทำให้บุญนาคพิทยาคมอยู่ในสถานะ ‘ใกล้ถูกยุบ’ แบบที่ทุกโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศกำลังเผชิญ

ทว่าความจริงที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพโรงเรียนใกล้ร้างแห่งนี้คือเด็กไม่ได้หายไปไหนเลย  

พวกเขายังอยู่ในหมู่บ้าน อยู่ในปั๊มน้ำมัน อยู่ในครอบครัวที่ต้องการแรงงานเพื่อปากท้อง อยู่ในร้านอาหารเพื่อบริการลูกค้า บ้างก็กำลังชงกาแฟอยู่ในคาเฟ่ บ้างก็ตากแดดทำงานอยู่ในไร่ นา สวนผลไม้ ไปจนถึงอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรม… 

พวกเขาไม่ได้หายไปไหน  ไม่ได้อยากทิ้งการศึกษา แต่เป็นระบบการศึกษาต่างหากที่ไม่เคยออกแบบให้รองรับเงื่อนไขชีวิตของพวกเขาเลย

‘การศึกษายืดหยุ่น’ ของโรงเรียนบุญนาคพิทยาคมเริ่มต้นขึ้นตรงนี้ จากความจริงง่ายๆ ว่า ชีวิตของเด็กไม่รอระบบอีกต่อไป และทันทีที่โรงเรียนขยับตัวเข้าหาเด็กแทนการรอให้เด็กปรับตัวเข้าหาโรงเรียน บางอย่างจึงเริ่มเปลี่ยนไปทั้งระบบ ฟื้นคืนโรงเรียนที่ใกล้ถูกยุบให้กลับมามีความหมายอีกครั้ง

ผอ.ไชยโพธิ์ ร่มโพธิ์

1.เมื่อผู้อำนวยการลุกขึ้น ทั้งโรงเรียนและชุมชนก็ลุกตาม

5 ตุลาคม 2566 ‘ไชยโพธิ์ ร่มโพธิ์’ เดินทางมารับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบุญนาคพิทยาคม 

เขาไม่ได้ประกาศว่าจะมาพลิกฟื้นโรงเรียนหรือทำตัวเป็นฮีโร่ผู้กอบกู้ใดๆ แต่เริ่มจากสิ่งที่พื้นฐานที่สุดของการบริหาร นั่นคือสำรวจลักษณะปัญหาของชุมชนและผู้เรียน ตรวจดูระบบของโรงเรียนที่มีอยู่เดิมเพื่อดูว่าระบบยังใช้งานได้กับชีวิตจริงของเด็กในพื้นที่หรือไม่ 

ไม่นานเขาก็พบคำตอบว่า ‘ระบบที่ทำอยู่ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง’

ยิ่งเจอกับตัวเลขในระบบจัดเก็บข้อมูลนักเรียนรายบุคคล (DMC) ที่รายงานว่ามีนักเรียน 51 คน แต่ในความเป็นจริงมีเด็กมาเรียนแค่ 20 กว่าคน ทำให้ไม่ว่าจะมองจากมุมการบริหาร หรือมุมสิทธิในการศึกษา ตัวเลขนี้ชี้อย่างเดียวว่า เด็กกำลังไหลออกจากระบบการศึกษา และโรงเรียนไม่ตอบโจทย์กับชีวิตเด็กแล้ว

“บริบทปัญหาพื้นฐานมันสะสมค่อนข้างเยอะ เด็กตกหล่นระหว่างเรียนเยอะ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผมเริ่มมองว่าควรนำการศึกษายืดหยุ่นมาปรับใช้ที่โรงเรียนนี้”

ทันทีที่เข้าใจสภาพปัญหาของเด็ก ชุมชนและโรงเรียนในระดับหนึ่ง ผอ.ไชยโพธิ์ ก็รู้ทันทีว่า ‘การศึกษายืดหยุ่น’ คือคำตอบของปัญหา และต้องทำทันที ทำจริงจัง และทำทั้งระบบแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ ไม่เช่นนั้น “จะเอาปัญหาไม่อยู่”

แม้ในช่วงแรกจะมีคำถามมากมายจากครูและชุมชนว่า “ทำไมต้องทำการศึกษายืดหยุ่น ทำไมต้องไปเก็บเด็กหลุดแล้วกลับมา นั่นมันหน้าที่ กศน. ซึ่งปัจจุบัน คือ สกร. ไม่ใช่หรือ”

ผอ.ไชยโพธิ์ ตอบคำถามนี้ด้วยกฎหมาย ที่แม้กระทั่งหลายคนก็ยังไม่รู้ว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และสามารถออกแบบเวลาเรียน วิธีเรียน การวัดประเมินผล รวมถึงเส้นทางการเรียนรู้ที่ปรับให้เข้ากับชีวิตนักเรียนรายบุคคลได้อย่างยืดหยุ่นกว่าระบบปกติ

ดังนั้นคำว่า ‘ยืดหยุ่น’ ของ ผอ.ไชยโพธิ์ จึงไม่ใช่โครงการใหม่ตามแฟชั่น ไม่ใช่การไปแย่งงานหน่วยงานอื่น แต่เป็นภารกิจตามกฎหมายที่โรงเรียนสามารถทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมา ‘ระบบการศึกษา’ มองเห็นมันไม่ชัดเจนเท่านั้นเอง

หลังปรับจูนความเข้าใจให้ตรงกันแล้ว เข็มทิศแรกที่ ผอ.ไชยโพธิ์ ออกแบบการทำงานของโรงเรียนตั้งแต่มาเริ่มงานไม่นาน คือ ‘BOONNAK Model’ ในการวางทิศทางและกำกับวิธีคิดของครู วิธีดูแลเด็ก และวิธีเชื่อมโยงโรงเรียนกับชุมชน กับหน่วยงานต่างๆ และโมเดลนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โรงเรียนสามารถสร้าง ‘ระบบการศึกษายืดหยุ่น’ ได้อย่างเป็นรูปธรรม 

B – Behavior (พฤติกรรม)

เริ่มจากการสำรวจและสังเกตเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ลงโทษพฤติกรรม  แต่มองมันเป็น ‘ข้อมูลระบบ’ ทั้งพฤติกรรมเด็กไม่เข้าเรียน ไม่ส่งงาน มาสาย ไม่มาโรงเรียน เพื่อหาว่าเด็กๆ อยู่ในเงื่อนไขชีวิตแบบไหนที่ไม่สามารถเข้าเรียนในระบบตามปกติได้ 

O – Opportunity / Option (โอกาส–ทางเลือก)

นี่คือหัวใจของระบบยืดหยุ่นทั้งหมด โดย ผอ.ไชยโพธิ์ ตั้งคำถามว่า ‘โรงเรียนสร้างทางเลือกอะไรให้เด็กบ้าง’ ถ้าคำตอบคือไม่มี โรงเรียนก็เป็นเพียงอุปสรรค ไม่ใช่โอกาส ดังนั้นแผนการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลจึงถูกปรับปรุงและออกแบบบนฐานคิดของการเป็นโรงเรียนแห่งโอกาสให้กับนักเรียน ตาม Opportunity / Option นั่นเอง 

N – Needs / Networking (ความต้องการ–เครือข่าย)

ผอ.ไชยโพธิ์ มองโรงเรียนเป็นระบบนิเวศที่ต้องมีเครือข่ายหลายฝั่ง … เด็กต้องการอะไร? ครูต้องการข้อมูลอะไร? ผู้ปกครองอยากเห็นอะไร? และชุมชนจะช่วยสนับสนุนเด็กได้อย่างไร? และจากตัว N นี้เอง ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่าง “โรงเรียน–ชุมชน-นายจ้างของเด็ก–เจ้าของกิจการท้องถิ่น-วัด-ผู้นำชุมชน-ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด-หน่วยงานต่างๆ” ที่ช่วยกันดูแลเด็กเป็นวงกว้าง และสนองตอบความต้องการของทุกคน

A – Active Citizenship (พลเมืองที่พร้อมทำหน้าที่)

โรงเรียนส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเองในสังคม มีวินัย ความรับผิดชอบ เคารพกติกา พร้อมพัฒนาพฤติกรรมและสังคม ให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติบ้านเมือง สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์

K – Knowledge & Know-How (ความรู้ – ความชำนาญ)

โรงเรียนต้องพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นให้ผู้เรียน ทั้งทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ ตามความสามารถเฉพาะทางและความสนใจ เพื่อให้นักเรียนมีพื้นฐานพร้อมต่อยอดการศึกษาและประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างมั่นคง

ที่สำคัญ โรงเรียนไม่สามารถยืดหยุ่นได้ หากครูไม่มีเครื่องมือ ผอ.ไชยโพธิ์ จึงปรับปรุงระบบประเมินผลใหม่ โดยให้ครูออกแบบใบงานตาม ‘ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันของเด็กรายบุคคล’ ไม่ใช่ตามจำนวนชั่วโมงในห้อง 

จุดหมายสูงสุดของโมเดลนี้ไม่ใช่ให้เด็กสอบผ่านตามการวัดผลแบบเดิมของระบบ หรือจบ ม.6 ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยให้ได้ แต่คือให้เขาเป็น ‘พลเมืองที่ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้’ 

เด็กที่เรียนควบคู่การทำงาน เรียนควบคู่การบวชเรียน หรือรับผิดชอบครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาต้องได้รับการศึกษาแบบที่ช่วยให้เขารับผิดชอบโลกจริงได้ ไม่ใช่การศึกษาแบบที่ต้องลาออกจากชีวิตจริงเพื่อมานั่งในห้องเรียนเท่านั้น 

โดย ผอ.ไชยโพธิ์ วางระบบใหม่คู่ขนานไปกับการลงพื้นที่จริงเพื่อติดตามเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ทำให้เขาพบชีวิตจริงของนักเรียนที่ ต้องทำงานตั้งแต่ตีห้า เด็กบางคนรับจ้างยกของ รับจ้างตัดหญ้า รับจ้างอยู่ยาม  ขายของ  ทำงานร้านอาหาร เลี้ยงน้อง หรือเดินตามพ่อแม่ไปเป็นแรงงานรายวัน

“เด็กคนแรกที่ผมตามกลับมาเรียน อุ้มลูกวัยแค่สองเดือนมาด้วย บางคนเพิ่งกลับเข้าระบบได้ไม่ทันไร ก็มีหมายจับเรื่องบัญชีม้าตามมา พอไล่ดูทีละเคสถึงเห็นว่าเด็กเหล่านี้ช่วยตัวเองไม่ได้ ครอบครัวก็พึ่งพาไม่ได้ และกำลังจะกลายเป็นวัฏจักรใหญ่ของชุมชน ถ้าไม่หยุดตั้งแต่วันนี้ เด็กๆ ก็จะเติบโตในเส้นทางเดิม” ผอ.ไชยโพธิ์กล่าว

2.โรงเรียนที่ขยับเข้าหาเด็ก ด้วย ‘การศึกษายืดหยุ่น’

หลังจากวางเข็มทิศ BOONNAK  ไว้เป็นฐานคิด ผอ.ไชยโพธิ์ ก็เริ่มลงมือออกแบบระบบการเรียนรู้ใหม่ทั้งโรงเรียน บนหลักคิดคือเด็กต้องได้เรียนในแบบที่สอดคล้องกับชีวิตจริงของเขา ไม่ใช่ชีวิตต้องวิ่งกลับมาเข้าเกณฑ์ของโรงเรียนเสมอไป โดยเขาเรียกการศึกษาแบบยืดหยุ่นนี้ว่า ‘โรงเรียน 3 รูปแบบ’ 

เริ่มต้นจากติดตามเด็กที่หายไปจากห้องเรียนทีละคน สร้างแรงจูงใจให้เด็กกลับมาเรียนแบบปกติให้ได้มากที่สุดก่อน เพื่อสื่อสารกับผู้เรียนและชุมชนว่า โรงเรียนพร้อมโอบอุ้มพวกเขาจนถึงที่สุด 

“ค่าเทอมผมก็ไม่เก็บ แจกชุดพละ แจกกระเป๋านักเรียน มีรถรับส่งฟรี มีปัญหาอะไรเราช่วยทุกอย่างถ้ากลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษา บางคนเราช่วยกันซื้อจักรยานให้ปั่นมาโรงเรียนด้วย ใครกลับมาเรียนได้ตามปกติผมให้ทุนเลย และมีทุนให้สำหรับนักเรียนเข้าใหม่ คนละ 2,000 บาท ติดประกาศหน้าโรงเรียนชัด ๆ เพื่อจูงใจทุกทาง บางบ้านเงินสำคัญจริง ๆ โดยผมก็แบ่งให้เป็นอาทิตย์ละ 500 บาท ทำสัญญากันไปเลยว่า ถ้ามาเรียนทุกวันก็ได้เงินครบ ใช้ลูกล่อลูกชนทุกอย่าง” ผอ.ไชยโพธิ์ กล่าว 

เด็กบางคนเลือกกลับมาเรียนด้วยเงื่อนไขดังกล่าว แต่ยังมีเด็กอีกจำนวนมากที่ต้องทำงานเพื่อปากท้องของครอบครัว โรงเรียนจึงเริ่ม ‘ออกแบบและจัดการเรียนรู้’ ให้กับผู้เรียนที่ต้องทำงานหรือมีความจำเป็นพิเศษ  โดยเรียกเด็กที่มาเรียนได้ตามปกติว่า ‘เด็กแผนหนึ่ง’ และเรียกเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษ ที่ไม่สามารถมาเรียนได้ทุกวันว่า ‘เด็กแผนสอง’ 

1) เรียนตามจังหวะชีวิต ไม่ใช่ตามตารางราชการ

“ความจำเป็นชีวิตของเด็กมันเยอะมาก ทุกบ้านมีเหตุผลของเขา ผมเลยคิดว่าต้องมีหลายทางให้เดิน ไม่ใช่มีแค่ทางเดียวแล้วใครเดินไม่ไหวก็หลุดจากระบบการศึกษา” 

สำหรับเด็กแผนสอง โรงเรียนจึงใช้วิธีการเรียนการสอนที่หลากหลาย ทั้งการเข้าไปเสิร์ฟความรู้ให้ถึงที่ จัดใบงานตามสมรรถนะ ส่งงานผ่านออนไลน์ สื่อสารกันทุกวัน และประเมินผลจากสิ่งที่เด็กทำได้จริงในพื้นที่ ไม่ใช่จากจำนวนชั่วโมงที่เด็กนั่งอยู่ในห้องเรียน

“หัวใจคือพยายามให้เขาเห็นความสำคัญของระบบการศึกษา พอเขาเห็นความสำคัญแล้วอยากกลับมานั่งเรียนกับเพื่อน บางช่วงเวลาผมก็จะได้เด็กแผนสองกลับมานั่งเรียนเป็นปกติเหมือนเด็กแผนหนึ่ง หรือวันใดวันหนึ่ง เด็กแผนหนึ่งเจอปัญหาชีวิต ก็อาจปรับไปเรียนแบบแผนสองก่อนได้เช่นกัน”

เฟียส เด็ก ม.6 ที่ทำงานพาร์ตไทม์สัปดาห์ละ 1,800 บาท เพื่อดูแลและช่วยแบ่งเบาภาระแม่ที่ไม่มีความพร้อมทางด้านการเงิน เขามาเรียนได้เพียงสามวันต่อสัปดาห์ เพราะต้องแบ่งเวลาไปทำงานหาเงินเข้าบ้าน ระบบการศึกษาแบบเดิมไม่มีพื้นที่สำหรับเด็กแบบเฟียส แต่ระบบยืดหยุ่นของโรงเรียนนี้กลับออกแบบให้ชีวิตเขาเรียนได้ ผ่านการทำ MOU ระหว่างโรงเรียน–ผู้ปกครอง–ผู้ประกอบการ กำหนดตารางเรียนและตารางงานให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่ให้เฟียสต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

2) การประเมินผลตามศักยภาพและพัฒนาการ ไม่ใช่เกณฑ์ตายตัว

ในความเป็นจริง หลายบ้านไม่มีใครช่วยเลี้ยงน้อง เด็กต้องอยู่กับตากับยาย ต้องไปตกปลาหาเงินเพื่อจุนเจือครอบครัว ต้องพาพ่อแม่ไปโรงพยาบาล หรือทำงานบ้านแทนผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วย

ภาระชีวิตของเด็ก กลายเป็น ‘หลักฐานการเรียนรู้’ ที่โรงเรียนยอมรับว่ามันส่วนหนึ่งของผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่อุปสรรค และสามารถนำไปเทียบโอนเป็นหน่วยกิตจากสภาพการณ์จริง เช่น เด็กมีประสบการณ์ทำงานช่าง งานค้าขาย หรือปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ก็นำมาเทียบประเมินได้

​​ครูจึงเลิกใช้วิธีมองเด็กจากจำนวนชั่วโมงที่มาเรียน  เปลี่ยนมาประเมินจากผลงานจริง ความรับผิดชอบ งานที่เด็กทำได้ในบ้านหรือที่ทำงาน และความก้าวหน้ารายบุคคล

3) วันศุกร์เป็นวันบูรณาการ—สะพานระหว่างแผนหนึ่งกับแผนสอง

วันศุกร์เป็นวันที่โรงเรียน ‘งดสอนหน้าห้อง’ แต่เพื่อเปิดพื้นที่ให้เรียนแบบโครงงาน ทั้งโรงเรียนจึงเดินด้วยโมเดล project-based learning

“ด้วยพื้นฐานที่ผมเคยทำ STEM มาก่อน เลยจับทุกวิชามาบูรณาการเข้าด้วยกัน แล้วดึงตัวชี้วัดมาเชื่อมให้ครูยังประเมินผลได้เหมือนเดิม แต่อยู่ในรูปแบบที่สอดคล้องกับเด็กมากขึ้น ผมชอบนำกิจกรรมใหม่ๆ เข้ามา เช่น เด็กสนใจทำลูกปัด เราก็ออกแบบและสนับสนุนให้ใช้ได้ทุกวิชา หรือถ้าเขาอยากเรียนสมุนไพร ครูทำไม่เป็น หน้าที่ผมคือไปทำ MOU หาคนมาสอน อย่างที่ทำกับศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ซึ่งมีหลักสูตรอาชีพเยอะมาก ทำให้สองปีที่ผ่านมา โรงเรียนเราได้มีโอกาสรับ-ส่งเสด็จและทูลเกล้าถวายผลิตภัณฑ์จากผลงานนักเรียนแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดาฯ ถึง 4 ครั้ง” 

มากกว่านั้น เด็กแผนหนึ่งยังได้ทำงานร่วมกับเด็กแผนสอง เกิดการแลกเปลี่ยนความสามารถ และทำให้เด็กแผนสองกลับมารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนอีกครั้ง แม้จะไม่ได้มาเรียนทุกวันก็ตาม 

4) ระบบ ‘Active Tracking’ ตามเด็กก่อนหลุด 

โรงเรียนจำนวนมากรอให้เด็กขาดเรียนเป็นเดือนแล้วค่อยตาม หรือปล่อยไปตามยถากรรม แต่ที่บุญนาคพิทยาคมกลับใช้ระบบที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะเด็กแผนสองที่เรียนแบบยืดหยุ่นไปด้วย ทำงานไปด้วย เด็กกลุ่มนี้เสี่ยงหลุดมือได้ง่าย เพราะหลายครั้งพวกเขาต้องเคลื่อนที่โยกย้ายอยู่ตลอดเวลาตามเหตุผลของงาน เช่นย้ายไซต์ก่อสร้าง ย้ายนายจ้าง การติดตามพวกเขาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น   

ตัวช่วยที่สำคัญจึงไม่ใช่ใคร แต่เป็น ‘ชุมชน’ ที่เปรียบเหมือนโครงข่ายข้อมูลที่จะคอยเป็นหูเป็นตาให้ว่า ‘เด็กคนไหนเป็นอย่างไร’ ใครหยุดงาน ใครมีปัญหาที่บ้าน ใครถูกชักชวนไปทำงานเสี่ยง และใครที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเพิ่มเติม

ระบบ Active Tracking ทำให้ความยืดหยุ่นไม่พาเด็กหลุดออกจากโรงเรียน และเมื่อระบบนี้ทำงานคู่กับแผนหนึ่ง–แผนสอง และการประเมินแบบใหม่ โรงเรียนจึงยืนบนฐานที่มั่นคงและได้ผลจริง ไม่ใช่แค่โมเดลสวยๆ ไว้ติดฝาผนังห้องประชุม

3.ดูแลเด็กหลุดจากระบบ ต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน

“นอกเหนือจากที่ครูช่วยกันติดตามนักเรียน ผมขับรถไปกับผู้ใหญ่บ้านบ้าง กับนักการภารโรงบ้าง ไปตามทุกจุดที่เด็กอยู่ แล้วคุยกับผู้นำชุมชนให้รู้ว่า ถ้าลูกหลานใครหลุดจากระบบ โรงเรียนเรามีทางเลือกใหม่ให้ พอทำต่อเนื่อง ข่าวก็ค่อยๆ แพร่ออกไป เด็กหลายคนไม่อยากไป กศน. เขาอยากได้วุฒิของโรงเรียน ก็กลับมาสมัครเรียนที่โรงเรียน” ผอ.ไชยโพธิ์ เล่า 

การศึกษายืดหยุ่น ไม่ได้เกิดจากของโรงเรียนบุญนาคพิทยาคมเพียงลำพัง แต่ยืนอยู่ได้เพราะมี ‘ตาข่ายสังคม’ ที่โอบรับเด็กในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะชุมชนหรือ ผู้ประกอบการ ไปจนถึง คนทำงานในเศรษฐกิจฐานรากที่มองว่าเด็กไม่ใช่แรงงานราคาถูก แต่เป็นทรัพยากรของพื้นที่ที่ต้องเติบโตไปด้วยกัน

นัชชา สิทธิ

นัชชา สิทธิ หรือที่เด็กๆ เรียกว่า ‘เจ๊กลาง’ คือเจ้าของปั๊มน้ำมันในชุมชน เธอรับเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษามาทำงานที่ปั๊มหลายต่อหลายรุ่น จนกระทั่งวันหนึ่ง ครูวัยเกษียณซึ่งเป็นที่รู้จักดีในชุมชนได้ติดต่อเธอมา และแจ้งว่า ผอ.จากโรงเรียนบุญนาคพิทยาคมอยากเข้ามาคุยเรื่องการศึกษายืดหยุ่นด้วย 

โดยขณะนั้น เธอมีเด็กปั๊มทั้งหมด 4 คน ได้แก่ 

  • คนที่ 1 เรียนจบแค่ ป.6 แล้วไม่ได้เรียนต่อ 
  • คนที่ 2 เรียนจบแค่ ม.3 แล้วไม่ได้เรียนต่อเช่นกัน
  • คนที่ 3 กำลังเรียนต่อการศึกษานอกระบบที่ กศน. 
  • คนที่ 4 เรียนจบ ม.3 และสมัครต่อ ม.4 ที่โรงเรียนบุญนาค แต่ไม่มาเรียนเลย 

“พอ ผอ. มาเสนอว่าอยากให้เด็กเรียนแบบยืดหยุ่น เราก็สนับสนุนเต็มที่ เพราะมันไม่ได้กระทบการทำงานที่ปั๊ม แถมเด็กยังได้เรียนด้วย เราก็อยากให้เด็กเขามีความรู้ เพราะส่วนมากเด็กพวกนี้ยากจน ทำให้ไม่มีโอกาสได้เรียนตามระบบ ต้องออกมาหาเงินกันเยอะ  แต่เด็กรุ่นนี้ที่มาอยู่กับเราเขาดีนะ ไม่ได้ไปติดยา บางคนพอติดยาแล้วก็เสียคนไปเลย เขาอยู่นอกรั้วโรงเรียนปุ๊บมันเสี่ยง” นัชชา  เล่า

นอกจากนั้น นัชชายังเพิ่มทำหน้าที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยครู และให้พื้นที่ทำงานเป็นพื้นที่การเรียนรู้ โดยเธออนุญาตให้เด็กๆ นำใบงานมานั่งทำได้ที่ปั๊มน้ำมัน คอยให้คำแนะนำหากเด็กมีคำถาม คอยเช็กความก้าวหน้า ไปจนถึงติดตามใบงานให้คุณครู และติดตามครูให้เด็กๆ 

นอกจากนี้ นัชชายังทำหน้าที่เชื่อมโรงเรียนกับพื้นที่ที่ต้องการการศึกษายืดหยุ่นให้มาเจอกัน โดยเธอแนะนำให้ศูนย์ปฏิบัติธรรมและศูนย์อบรมเยาวชนชัยนาทได้รู้จักกับโรงเรียนบุญนาคฯ ทำให้ต่อมา เณรในศูนย์ปฏิบัติธรรมจำนวน 4 คนได้เข้ามาเรียนแบบยืดหยุ่นอีกด้วย 

พระสุขสันต์ สุขสันโต

พระสุขสันต์ สุขสันโต เล่าว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมฯ แห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ พระครูสมณชัย ธรรมชัย เจ้าคณะตำบลหาดท่าเสา จังหวัดชัยนาท โดยปัจจุบันมีเณรมาประจำอยู่ 10 กว่ารูป 

โดยพระครูสมณชัย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาของสามเณร และได้วางนโยบายไว้ให้สามเณรได้เรียนทั้งนักธรรมและการศึกษาภาคบังคับควบคู่กันไป เพราะหากวันหนึ่งสามเณรลาสิกขาไปแล้ว เขาก็จะสามารถมีวุฒิการศึกษาและต่อยอดเส้นทางในโลกจริงได้ 

“เราไม่ได้หวังให้น้องเณรบวชไปตลอด แต่หวังให้เขามีโอกาสทางการศึกษา มีวุฒิและไปเรียนต่อทางโลกได้ถ้าเขาต้องการ เพราะถ้าไม่ได้เรียนทางโลกเลย พอสึกออกมาก็หางานยาก วัดจึงอยากให้โอกาสเขาให้มากที่สุด ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเณรเองด้วย”

ในพื้นที่ตำบลธรรมามูล จังหวัดชัยนาท วัดคือหนึ่งในโครงสร้างสำคัญที่ช่วยประคับประคองเด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กชายขอบที่มีภูมิหลังแตกต่าง บางรูปไม่มีเอกสาร ไร้สัญชาติ บางรูปมาจากครอบครัวแตกร้าว และหลายรูปเติบโตมากับภาระชีวิตที่ใหญ่เกินวัย การบวชเป็นสามเณรจึงไม่ใช่หนทางหลีกหนี แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ช่วยให้พวกเขามีวินัย มีขอบเขต และมีผู้ใหญ่ดูแลอย่างใกล้ชิด โรงเรียนจึงไม่ได้มองว่าวัดเป็นสถาบันที่มีศักยภาพจะเป็นห้องเรียนอีกประเภทหนึ่ง … ห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้ผ่านวิถีปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของการเป็นเณร

ปัจจุบัน สามเณรที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ต้องเรียนธรรมควบคู่กับการศึกษาทางโลก โดยเณรระดับประถมต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนชุมชนวัดดักคะนน โดยหลังจบประถมปลายแล้ว เดิมทีเณรต้องเข้าเรียนที่ กศน. แต่หลังจากได้รู้จักกับ ผอ. ไชยโพธิ์ เณรระดับมัธยมครึ่งหนึ่งจึงหันมาเรียนยืดหยุ่นทางไกลในสายสามัญ จึงเกิดระบบที่ครูประสานงานกับพระอาจารย์ ใบงานและผลประเมินถูกปรับให้สอดคล้องกับบทบาทที่เณรทำในวัด ทักษะทางศาสนาและสมาธิถูกนำมาเชื่อมกับสมรรถนะด้านสังคม ชั่วโมงช่วยงานวัด ถูกนับเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

4.เด็กในฐานะ ‘หลักฐานที่ระบบหลงลืม’ 

การศึกษายืดหยุ่นของโรงเรียนบุญนาคพิทยาคมจะไม่มีน้ำหนักใดเลย หากไม่มีเสียงของ ‘เด็กแผนสอง’ ที่ใช้ระบบนี้อยู่ในชีวิตประจำวัน และเพื่อเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ระบบที่โรงเรียนออกแบบ ตั้งแต่แผนเวลาเรียนหลายจังหวะ การประเมินผลตามศักยภาพ ไปจนถึง MOU ระหว่างโรงเรียน แหล่งเรียนรู้ สถานประกอบการ และชุมชน มันทำงานได้จริงกับชีวิตที่ไม่ปกติของเด็กจำนวนมากในพื้นที่อย่างไร 

โชตินัย มีทรัพย์

‘นุ๊ก’ โชตินัย มีทรัพย์  อายุ 18 ปี ทำงานที่ปั๊มน้ำมันของนัชชามาแล้ว 1 ปี 8 เดือน เขาเรียนจบแค่ ม.3 และตัดสินไม่ไปเรียนต่อ ม.4 แม้จะสมัครเรียนไว้แล้ว ทำให้ชื่อของเขาค้างเติ่งอยู่ในระบบของโรงเรียน แต่ตัวกลับต้องดิ้นรนอยู่ในตลาดแรงงานตั้งแต่อายุ 15 ปี

“ผมสมัครเข้า ม.4 แล้ว แต่ไปได้วันเดียวก็ต้องหยุด เพราะค่าใช้จ่ายมันไม่ไหว ไหนจะค่ารถ ไหนจะต้องหาเงินเข้าบ้าน พ่อแม่ก็ทำงานไม่ค่อยได้แล้ว ผมเลยออกมา ทำงานตั้งแต่สิบห้าขวบ รับจ้างทำสวน ทำงานที่ใครจ้างก็ไป บ้านมีกันแค่สามคน พ่อแม่ลูก รายได้ไม่ค่อยพอ ผมเห็นปัญหาตลอด ทั้งเรื่องเงิน ทั้งที่พ่อแม่ไม่ค่อยลงรอยกัน ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยอยากเรียนด้วยเลยตัดสินใจออกก่อน”

ในวันที่ ผอ.ไชยโพธิ์ มาเสนอแผนการเรียนแบบยืดหยุ่น นุ๊กตอบตกลงแบบไม่ลังเล เพราะนับตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมา เขาพบว่าแม้งานจะหาไม่ยาก แต่งานที่จะช่วยยกระดับชีวิตของเขานั้นหายาก หากปราศจากวุฒิการศึกษา

เขาเริ่มทำงานที่ปั๊มตั้งแต่ตีห้าครึ่งถึงสี่โมงเย็น ค่าแรงวันละ 300 บาท แต่กลับบ้านก็ยังต้องทำงานบ้านต่อ “เหนื่อยมากครับ” เขาพูดตรง ๆ “ตกเย็นผมหมดแรงแล้ว หลับทันที จะให้ไปนั่งทำใบงานเยอะ ๆ ผมไม่ไหวเลย” นุ๊กจึงขออนุญาตนายจ้างนั่งทำใบงานที่ปั๊มเติมน้ำมันแทน โดยหากไม่มีลูกค้า เขาจะหยิบงานขึ้นมาทำ พอรถเข้ามาก็ลุกไปบริการ นี่คือรูปแบบการเรียนที่ “เป็นไปได้จริง” ในชีวิตของเขา 

เจ้าของปั๊มน้ำมันเองก็แนะนำให้เขากลับไปเรียน เพราะมองเห็นว่านุ๊กยังเด็กเกินกว่าจะทิ้งโอกาสทางการศึกษาไปตลอดชีวิต และนุ๊กก็รู้ดีว่า ‘วุฒิการศึกษา = โอกาสงาน” มากกว่าใคร

ปัจจุบันนุ๊กอยู่ ม.4 อีกประมาณสองปีก็จะจบ ม.6 ใบงานที่เขาต้องทำเป็นแบบรายเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาที่มีจำกัด “บางวันก็ท้อครับ” เขายอมรับ “แต่พอรุ่งเช้ามามันก็ต้องลุกขึ้นมาทำงานอีก เพราะผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง อยากมีรถซักคัน ต้องสู้ให้ถึงวันนั้นครับ”

เรื่องของนุ๊กไม่ได้ต้องการสื่อว่า ‘เด็กคนนี้น่าสงสาร’ แต่กำลังบอกว่า ถ้าระบบการศึกษายืดหยุ่นพอ เด็กคนหนึ่งที่ถูกชีวิตบีบให้ต้องเป็นแรงงานตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็จะยังมีที่ยืนในโรงเรียนได้จริง

เณรกระเป๋า แปร้จาด แห่งศูนย์ปฏิบัติธรรมและศูนย์อบรมเยาวชนชัยนาท ก็เช่นเดียวกัน เขาต้องเผชิญเงื่อนไขชีวิตที่ระบบการเรียนแบบเดิมให้ไม่ได้ เนื่องจากเณรกระเป๋าต้องบวชเรียนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังพ่อและแม่เสียชีวิต เขาโตมากับวัดและเรียนทั้งปริยัติและทางโลกใน กศน. ควบคู่กันมาเสมอ แต่หลังได้เรียนการศึกษายืดหยุ่น เขาพบว่าตนสามารถออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีสมณะได้ และยังได้วุฒิการศึกษาสายสามัญซึ่งนำไปต่อยอดอาชีพได้มากกว่าในอนาคต 

“เรียนแบบยืดหยุ่นมีงานให้ทำเรื่อย ๆ รู้สึกว่าได้ความรู้จริง ทั้งทางโลกและทางธรรม พอคิดว่าวันหนึ่งต้องสึกออกไป การศึกษามันสำคัญครับ ถ้าไม่มีวุฒิทางโลกเลยก็คงหางานยาก ดูเสียอนาคต ผมเลยต้องใฝ่รู้ไว้ เพื่อเอาไปต่อยอดอาชีพในอนาคต” เณรกระเป๋ากล่าว และเหมือนเด็กอีกหลายคน เขาฝันอยากเป็นนักฟุตบอลเมื่อสึกออกมา และฝันว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับชีวิต หลังต้องผ่านความยากลำบากเกินวัยเกินกว่าใครจะจินตนาการถึง 

เณรภูเฉียง หมวย วัย 17 ปี ก็เป็นอีกคนที่ต้องออกบวชตั้งแต่อายุ 13  เขาเป็นเด็กชาติพันธุ์ไทใหญ่ที่ยังไม่มีบัตรประชาชน โดยครอบครัวส่งเขามาบวชเพราะกลัวเขาจะถูกตำรวจจับหากขาดเอกสาร ซึ่งเป็นชะตากรรมที่เด็กหลายคนในหมู่บ้านเผชิญเหมือนกัน

เขาเพิ่งรู้จักคำว่าการศึกษายืดหยุ่นเมื่อโรงเรียนบุญนาคพิทยาคมเข้ามาอธิบาย และเข้าใจทันทีว่ามันสำคัญต่อชีวิตเขาอย่างไร เพราะประวัติการเรียนและการมีวุฒิการศึกษาคือหลักฐานสำคัญในการยืนยันตัวตน การอยู่จริงในประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขอเอกสารทางกฎหมายในอนาคต

ระบบยืดหยุ่นทำให้เขาเรียนในวัดได้ ไม่ต้องละทิ้งบทบาทเณร แต่ยังมีคุณสมบัติและวุฒิทางโลกเพียงพอสำหรับวันที่ต้องสึก

เหมือนกระเป๋า… เณรภูเฉียงเองก็ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลเช่นกัน 

ส่วน เณรปฏิภาณ เกิดรัก เณรน้องเล็กวัย 13 ปี เขาออกบวชด้วยเหตุผลที่ครอบครัวไม่มีเวลาเลี้ยงดู การอยู่ในวัดจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัย และเป็นโอกาสที่เขาจะได้เรียนหนังสือควบคู่ทั้งทางโลกทางธรรม แม้จะยังเด็ก เขาเข้าใจดีว่าการเรียนรู้ทางโลกเป็นสิ่งที่ต้องมี ถ้าจะสึกออกมาใช้ชีวิตแบบฆราวาสเหมือนคนอื่นในวัยเดียวกัน 

5.รื้อวัฒนธรรมราชการ

มองเข้าไปเผินๆ เราอาจเห็นเพียงความสำเร็จของโรงเรียนบุญนาคพิทยาคมในการสร้างระบบการศึกษายืดหยุ่นที่ช่วยเด็กให้กลับมาเรียนได้จริงอีกครั้ง แต่ภาพใต้ภาพเหล่านี้ คือภาระงานจำนวนมากที่ครูต้องแบกรับปรับตัว และการต่อสู้ของ ผอ. ที่ไม่เคยอยู่ในตำราการบริหารโรงเรียน และอาจไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมราชการไทยเลยแม้แต่น้อย 

ผอ.ไชยโพธิ์ใช้เวลา 2 ปี  พลิกฐานคิดจากเดิมที่เด็กต้องปรับตัวเข้าหาโรงเรียน เป็นโรงเรียนต้องขยับเข้าหาชีวิตเด็ก ปลูกฝังให้ครูออกจากห้องไปติดตามเด็กนอกห้องเรียน ทำให้ครูเห็นว่าปัญหาไม่ใช่วินัยของผู้เรียนอย่างเดียว แต่คือโครงสร้างชีวิตที่พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ และรื้อวัฒนธรรมราชการที่ใช้เอกสารเป็นศูนย์กลาง เปลี่ยนเป็นระบบประเมินที่พิจารณาศักยภาพและความจำเป็นจริงของผู้เรียน รวมถึงรื้อวิธีทำงานใหม่ทั้งชุด ให้ครูเห็นว่าการเรียนรู้จริง ๆ ของเด็กอาจไม่ได้เกิดในห้องเรียนสี่เหลี่ยมอย่างเดียวอีกต่อไป 

นอกจากนั้น ผอ.ไชยโพธิ์ ต้องใช้เวลาทุกวันในช่วงตั้งไข่โครงการ ไปกับการ ‘คุยทีละบ้าน ทีละผู้นำชุมชน ทีละครู’ เพื่อทำให้ทุกคนเห็นเหตุผลว่าโรงเรียนไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือหน่วยพัฒนาคนของพื้นที่ และสร้างการตระหนักใหม่ว่า ชุมชนต่างหากคือเจ้าของโรงเรียนที่แท้จริง 

“ผมบอกกับคนในชุมชนตลอดว่า ผมไม่ใช่คนที่นี่นะ ผมไม่รู้ว่าจะทำงานอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นคนในชุมชนที่นี่คือเจ้าของโรงเรียน ผมไม่ใช่เจ้าของโรงเรียน วันหนึ่งผมก็ต้องไป ถ้าอยากช่วยให้โรงเรียนยังอยู่รอด ก็ต้องรีบช่วยกัน เพราะหากโรงเรียนถูกยุบก็คงไม่มีโอกาสช่วยอีกแล้ว” 

ประโยคนี้ทำให้ชุมชนเห็นภาพตรงกันทันทีว่าเหตุการณ์ ‘โรงเรียนจะถูกยุบ’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือภัยคุกคามต่ออนาคตลูกหลานของพวกเขาเอง การศึกษายืดหยุ่นจึงไม่ใช่โครงการของ ผอ.คนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งพื้นที่

เมื่อคนในชุมชนเริ่มเข้าใจว่า โรงเรียนจะอยู่ได้ต่อเมื่อทุกฝ่ายช่วยกันประคอง ระบบใหม่จึงค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น ร้านค้า ปั๊มน้ำมัน วัด ไปจนถึงครอบครัวในหมู่บ้าน เริ่มทำหน้าที่เป็น ‘โครงสร้างสนับสนุน’ แทนที่จะปล่อยให้เด็กหายไปเฉยๆ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นหลังคำพูดตรงไปตรงมาของผอ. นี่เอง ที่ทำให้การศึกษายืดหยุ่นไม่ใช่งานใจบุญชั่วคราว แต่เป็นระบบที่ชุมชนยอมรับร่วมกันว่าเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นเครื่องมือพัฒนาคนของพื้นที่จริงๆ

ที่สุดแล้ว ระบบการศึกษายืดหยุ่นไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคนๆ เดียว เพราะความยืดหยุ่นแบบที่บุญนาคพิทยาคมกำลังทำอยู่ ไม่ใช่โครงการที่ ผอ.คนหนึ่งลุกขึ้นมาทำแล้วทุกอย่างเดินได้เอง แต่คือกระบวนการ ‘ขยับทั้งระบบ’ พร้อมกัน ตั้งแต่ครูที่ต้องเปลี่ยนวิธีสอนและต้องออกไปตามเด็กถึงไซต์งาน ชุมชนที่ต้องยอมรับว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่เด็กต้องนั่งเรียนทุกวัน ผู้ประกอบการที่ต้องช่วยคุมใบงานและคอยเป็นตาข่ายรองรับเด็กที่ทำงานไปด้วย และวัดที่กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้เณรที่ไม่สามารถเข้าเรียนในห้องเรียนปกติได้ ทั้งหมดนี้คือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้โรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งสามารถดึงเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้จริง

ประการสุดท้ายที่ ผอ. ย้ำ นั่นคือการเปลี่ยนระบบครั้งนี้เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโรงเรียนไม่ต้องเดินลำพัง แต่มีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นกลไกที่ทำให้โรงเรียนเล็กอย่างบุญนาคพิทยาคมกล้าลองวิธีใหม่ มีพื้นที่ทดลองโดยไม่เสี่ยงล้มอย่างไร้ฟูก และทำให้นวัตกรรมที่เกิดในระดับหมู่บ้านเชื่อมต่อไปถึงระดับนโยบายได้จริง 

หากจะวัดความสำเร็จของโรงเรียนเล็กๆ ที่เคยใกล้ถูกยุบแห่งนี้ เราคงไม่ต้องดูที่คำยกยอใดๆ เพราะลำพังแค่ตัวเลขดังต่อไปนี้ก็พูดแทนทุกอย่างได้แล้ว 

– ตุลาคม 2566 มีนักเรียนอยู่เพียง 20 คน 
– ธันวาคม 2566 ตามนักเรียนกลับมาได้อีก 20 คน รวมเป็น 40 คน 
– มิถุนายน 2567 มีนักเรียนเพิ่มเป็น 90 คน 
– มิถุนายน 2568 มีนักเรียนเพิ่มเป็น 124 คน
– พฤศจิกายน 2568 มีนักเรียนเพิ่มเป็น 131 คน 

ยังไม่นับรวมเด็กนักเรียนอายุเกินเกณฑ์อีกประมาณ 30 คน ที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้เรียนไม่จำกัดอายุ (นักเรียนที่อายุมากสุดในตอนนี้ประมาณ 40 ปี) นั่นหมายความว่า ระบบยืดหยุ่นของโรงเรียนนี้กำลังพาคนกว่า 160 ชีวิต กลับเข้าสู่การศึกษาที่พวกเขาเคยหลุดหายไป

อาจเรียกได้ว่านี่คือ Case Study ระดับประเทศ และหลักฐานว่าระบบการศึกษาเปลี่ยนได้จริง

โรงเรียนบุญนาคพิทยาคม จ.ชัยนาท ฟื้นจากภาวะใกล้ถูกยุบ สู่การดึงผู้เรียนกลับเข้าสู่ระบบได้กว่า 160 คน จากการปรับการเรียนให้สอดคล้องชีวิตจริง แกนกลางของความเปลี่ยนแปลงคือแนวคิด 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ที่เปิดให้การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยทำงานร่วมกัน เด็กทำงานหรือบวชเรียนยังเรียนได้ การเรียนรู้ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและห้องเรียน และโรงเรียนกลับมาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโอกาสของชุมชนอีกครั้ง โรงเรียนหรือบุคลากรทางการศึกษาที่สนใจการศึกษายืดหยุ่น สามารถรับข้อมูลและปรึกษาแบบตัวต่อตัว ได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น คลิก

ร่วมสร้างอนาคตใหม่ให้เด็กไทย ด้วยการศึกษาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง