-โรงเรียนนิวิฐราษฎร์อุปถัมภ์ จังหวัดกาญจนบุรี
ทำงานกับเด็กที่เสี่ยงหลุดจากระบบมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและลงมือถึงบ้านเด็กจริง ระบบนี้ช่วยให้เด็กที่ต้องทำงาน เจอปัญหาชีวิต หรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ ยังสามารถเรียนต่อและจบการศึกษาได้ โดยไม่ต้องหายไปจากระบบอีกครั้ง
-เด็กจำนวนมากไม่ได้หายไปจากโรงเรียน แต่ถูกเงื่อนไขชีวิตค่อยๆ ผลักออกไป
เด็กหลายคนต้องทำงาน ดูแลครอบครัว หรือเผชิญปัญหาสุขภาพ โรงเรียนจึงติดตามเชิงรุก ทำงานร่วมกับชุมชนและครอบครัว เพื่อประคองเด็กให้อยู่ในเส้นทางการศึกษา
-การวัดผลต้องมองเห็นสิ่งที่เด็กทำจริง ไม่ใช่แค่สิ่งที่เด็กสอบได้”
การประเมินยึดร่องรอยชีวิตจริง ทั้งงานในไร่ งานรับจ้าง ใบงานออนไลน์ และการพูดคุยกับครู ทุกคะแนนมีหลักฐานรองรับ แม้การเรียนรู้จะเกิดนอกห้องเรียน
“โรงเรียนต้องตามชีวิตเด็กให้ทัน ไม่ใช่ให้เด็กมาวิ่งไล่ตามโรงเรียน”
คำพูดนี้ฟังดูธรรมดา แต่มันคือแก่นแท้ของการศึกษายืดหยุ่นที่นิวิฐราษฎร์อุปถัมภ์ทำมาตั้งแต่ปี 2540 หลายปีก่อนที่คำว่า “การศึกษายืดหยุ่น” จะเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง โรงเรียนแห่งนี้ได้เริ่มออกแบบระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” เพื่อแก้ปัญหาเด็กในชนบทที่กำลังหลุดออกจากระบบ – ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากเรียน แต่เพราะชีวิตบีบให้เขาต้องเลือก
จุดเริ่มที่ต้องย้อนไป 2 ทศวรรษก่อน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2540 ผู้อำนวยการประจำโรงเรียนนิวิฐราษฎร์อุปถัมภ์ในยุคนั้น ได้เดินทางไปกรุงเทพฯ ด้วยตัวเอง โดยตรงไปกระทรวงศึกษาธิการเพื่อขออนุญาตจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร ยุคนั้นยังไม่มีคู่มือ ไม่มีแนวปฏิบัติอะไรให้ยึดเลย สิ่งที่มีคือปัญหาจริงในพื้นที่ อาทิ เด็กในตำบลอยู่ไกลโรงเรียนมัธยม หลายคนต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ หารายได้ช่วยครอบครัว การเดินทางไปโรงเรียนไกล เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และท้ายที่สุดหลายคนก็หลุดไป
โรงเรียนจึงเริ่มลองผิดลองถูก ค่อยๆ ปรับระบบให้เข้ากับวิถีชีวิตของเด็กจริงๆ จนกระทั่งโควิด-19 มา ปัญหาเด็กหลุดพุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โรงเรียนจึงต้องปรับระบบให้เข้มข้นขึ้น ชัดเจนขึ้น และทำงานได้จริงมากขึ้น
ชีวิตที่บีบให้เด็กต้องเลือก
นี่ไม่ใช่โรงเรียนในเมือง นักเรียนที่นี่หลายคนมาจากครอบครัวที่รายได้ไม่แน่นอน พ่อแม่ทำงานหนักแต่เงินไม่พอใช้ บางบ้านต้องการให้ลูกออกไปทำงานตั้งแต่อายุยังไม่ถึงจบภาคบังคับ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา มันคือการเลือกระหว่างความอยู่รอดกับการเรียนต่อ
บางคนต้องขาดเรียนไปช่วงทำนา บางคนขาดเรียนเพราะต้องเลี้ยงน้อง บางคนมีปัญหาสุขภาพจิต บางคนตั้งครรภ์ บางคนติดยา บางคนเข้าไปพัวพันกับกฎหมาย และโรงเรียนรู้ดีว่า ถ้ายังบังคับให้เด็กพวกนี้มาเรียนตามตารางปกติ พวกเขาจะหลุดไปแน่
โรงเรียนจึงเริ่มค้นหาเด็กเชิงรุก ไม่ใช่แค่หาเด็กที่หลุดไปแล้ว แต่รวมถึงเด็กที่ “ยังอยู่ในห้องเรียน แต่เสี่ยงจะหลุด” ครูทำงานร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข ติดตามเด็กทุกคนเป็นรายเคส วิเคราะห์ว่าแต่ละคนติดขัดตรงไหน แล้วหาทางออกให้
การเรียนที่ยืดหยุ่นจริง แต่ไม่หลวม
สิ่งที่โรงเรียนทำไม่ใช่การ “ปล่อยผ่าน” มันคือการออกแบบระบบที่ยืดหยุ่นแต่ยังคงมาตรฐาน เด็กทุกคนยังต้องเรียนครบตามตัวชี้วัดหลักสูตร ยังต้องมีหลักฐานการเรียนรู้ที่ตรวจสอบได้ แต่ “วิธีการเรียน” นั้นถูกปรับให้เข้ากับชีวิตของแต่ละคน
ปฐมนิเทศรายคน
ครูทุกวิชาจะนั่งคุยกับเด็กเป็นรายบุคคล ถามว่าเด็กทำงานอะไร มีเวลาเมื่อไหร่ มีปัญหาอะไรในชีวิต แล้วครูจะเอาตัวชี้วัดของหลักสูตรมากางเทียบกับสิ่งที่เด็กทำอยู่
เช่น เด็กไปทำงานในไร่ ถ้างานนั้นใช้ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือชีวิตและสังคม มันสามารถนับเป็นหน่วยการเรียนรู้ได้ ส่วนที่ยังขาด ครูจะออกแบบใบงานหรือกิจกรรมเฉพาะตัว
ห้องเรียนออนไลน์ที่ใช้งานได้จริง
ครูทุกคนมีห้องเรียนออนไลน์ บทเรียน PowerPoint วิดีโอสอน ใบงาน ทุกอย่างถูกอัปโหลดไว้ในระบบ เด็กที่ไม่สามารถมาโรงเรียนได้ – ไม่ว่าจะเพราะทำงาน ไม่สบาย หรือเหตุผลอื่น ๆ – สามารถสแกน QR code จากใบงานแล้วเข้าถึงบทเรียนได้ทันที ไม่ต้องกลัวว่าจะตามไม่ทัน
การประเมินหลายมิติ แต่ต้องมีหลักฐาน
เด็กไม่จำเป็นต้องสอบแบบปกติเสมอไป พวกเขาอาจถูกประเมินจาก:
– บันทึกการสัมภาษณ์กับครู
– ใบงานหรือใบกิจกรรมที่ทำเสร็จ
– การเข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียน (ถ้าทำได้)
– ข้อสอบปลายภาคแบบเปิดหนังสือ แต่ให้เขียนคิดวิเคราะห์
ทุกอย่างต้องมี “ร่องรอยการเรียนรู้” ที่ตรวจสอบได้ โรงเรียนเก็บหลักฐานทุกชิ้นไว้เผื่อการตรวจสอบ ไม่มีการให้วุฒิแบบง่ายๆ กับใครที่ไม่ได้เรียนจริง
สื่อสารแบบโปร่งใส
มีไลน์กลุ่มที่รวมผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนไว้ด้วยกัน ทุกการมอบหมายงาน การติดตามความก้าวหน้า การนัดสอบ ถูกแจ้งผ่านช่องทางเดียว ชัดเจน ไม่มีใครหลุด ไม่มีใครหายไป
สามชีวิตที่กลับมาได้เพราะระบบนี้
เรื่องของเด็กหญิงที่ชักหน้าหอประชุม
นักเรียนหญิงคนหนึ่งอยู่ ม.4 เธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าระดับรุนแรง เคยชักหน้าหอประชุมท่ามกลางเพื่อนๆ คุณหมอบอกว่าเธออาจยังไม่พร้อมกลับเข้าห้องเรียน แต่โรงเรียนเสนอให้เธอเข้าโครงการการศึกษายืดหยุ่นแทนที่จะดรอปเรียน
เธอค่อยๆ เรียนต่อในจังหวะของตัวเอง มีแม่นั่งอยู่หลังห้องสอบ เดินไปช้าๆ แต่ไม่หยุด วันนี้เธออยู่ ม.6 เทอมแรก สดใสขึ้นมาก และตั้งใจสมัครโควตาพยาบาล
ถ้าไม่มีระบบนี้ เธอคงหลุดออกไปตั้งแต่นานแล้ว
เรื่องของเด็กชาย ม.2 ที่เดินมาขอลาออกเอง
เขามาพบครูเงียบๆ แล้วพูดว่า “ผมขอออกครับ” แม่เลี้ยงเดี่ยวทำงานหนัก รายได้ไม่พอ เขารู้สึกสงสารแม่ อยากออกไปทำงานแทน
โรงเรียนบอกเขาว่า “โอกาสทางการเรียนรู้ยังเปิดอยู่นะ เธอสามารถเรียนไป ทำงานไปด้วยกันได้ ผ่านการศึกษายืดหยุ่น”
วันนี้เขายังเรียนอยู่ ส่งงานออนไลน์ ทำงานหารายได้ช่วงวันหยุด ยังคงก้าวต่อไปในเส้นทางการศึกษา ไม่ใช่เด็กคนที่ต้องหล่นหายไปจากระบบอีกต่อไป


เรื่องของอดีตเด็กเกเรที่กลายเป็นพนักงานบริษัทขนส่ง
เด็กคนหนึ่งเคยมีพฤติกรรมรุนแรง โรงเรียนเกือบจะคุมไม่อยู่ มีคดีความติดตัว บางคนมองว่า “คนนี้ไม่น่ารอดหรอก”
แต่เมื่อเขาเข้าสู่การศึกษายืดหยุ่น ตัวเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป เรียนไปทำงานไป จนเรียนจบ ม.3 แล้วเอาวุฒิไปสมัครงานบริษัทขนส่งเอกชน
วันนี้เขามาส่งพัสดุให้ครูที่โรงเรียนเกือบทุกวัน รายได้หลักหมื่นขึ้น จนมีการแซวกันเล่นๆ ว่า รายได้สูงกว่าครูหลายคนที่เคยสอนเขาเสียอีกนะ
เขากลายเป็น “ตัวอย่างในโลกความจริง” ที่ทำให้ครูและชุมชนเปิดใจ เชื่อว่าการศึกษายืดหยุ่นทำงานได้จริง
สิ่งที่ทำให้การศึกษายืดหยุ่นทำงานได้
ผู้บริหารที่ลงมือเอง
ผู้อำนวยการไม่ได้นั่งอยู่ในห้องทำงาน เขาลงพื้นที่ไปเคาะประตูบ้านเด็กกับครู เจอเด็กไม่มาโรงเรียน ผู้อำนวยการก็พาขึ้นรถมาสอบด้วยตนเอง
ครูที่ไม่ตีตราเด็ก
ครูใหม่ทุกคนต้องเข้าใจว่าโครงการนี้ไม่ใช่การปล่อยผ่าน มันคือการประเมินที่สอดคล้องกับชีวิตจริง ถ้าครูเพียงคนเดียวมีทัศนคติผิด มันอาจทำลายความเชื่อมั่นและทำให้เด็กหลุดอีกครั้ง

สายสัมพันธ์กับชุมชน
ชุมชนคือ “หูตา” ของโรงเรียน พวกเขารู้ว่าเด็กทำงานจริงหรือเปล่า มีปัญหาอะไรในบ้าน ครอบครัวเคลื่อนไหวอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ครูประเมินได้ตรงกับความจริง
ระบบเอกสารที่แข็งแรง
ทุกเคสมีร่องรอย ทุกคะแนนมีหลักฐาน ทำให้โรงเรียนสามารถยืนยันคุณภาพได้เต็มปาก ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตั้งคำถาม
เมื่อโรงเรียนยอมตามเด็กให้ทัน
โรงเรียนนิวิฐราษฎร์อุปถัมภ์พิสูจน์แล้วว่า การศึกษายืดหยุ่นไม่ใช่การลดมาตรฐาน มันคือการเพิ่มโอกาสโดยไม่ทิ้งคุณภาพ เด็กที่เกือบหลุดทุกคนสามารถจบการศึกษาภาคบังคับได้ หลายคนเรียนต่อ หลายคนมีงานทำ หลายคนยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง
สิ่งที่โรงเรียนแห่งนี้ทำไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มันคือการเลือกที่จะไม่ปล่อยให้เด็กหลุด การเลือกที่จะปรับระบบให้เข้ากับชีวิตจริงของเด็ก ไม่ใช่บังคับให้เด็กปรับตัวเข้ากับระบบที่ไม่ยืดหยุ่น
และบางทีนั่นอาจเป็นคำตอบว่า การศึกษาที่ยุติธรรมควรเป็นแบบไหน
ไม่ใช่ให้เด็กวิ่งไล่ตามโรงเรียน แต่คือให้โรงเรียนตามเด็กให้ทัน
| โรงเรียนนิวิฐราษฎร์อุปถัมภ์ จังหวัดกาญจนบุรี พัฒนาการเรียนยืดหยุ่นจากปัญหาจริงในพื้นที่มานานกว่า 20 ปี เด็กเรียนครบหลักสูตร แต่เลือกวิธี เวลา และการประเมินที่สอดคล้องกับชีวิต เพื่อให้เด็กได้รับโอกาสเต็มที่ หากโรงเรียนหรือครูต้องการข้อมูล หรือคำแนะนำเชิงปฏิบัติในการจัดการศึกษายืดหยุ่นสามารถปรึกษาแบบตัวต่อตัวได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น คลิก |








